วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ป้องกันอาการเพลียใน "วันนั้นของเดือน"



ป้องกันอาการเพลียใน "วันนั้นของเดือน"

ถ้าสาวๆ มีอาการเจ็บหน้าอก : อาหารช่วยได้ อาหารที่มีโอเมก้า 3 เป็นส่วนประกอบ เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ปลาซาดีน ปลาทูน่า น้ำมันปลา เพราะโอเมก้า 3 จะไม่เพิ่มฮอร์โมนตัวที่ช่วยบรรเทาความเจ็บในตัวเราได้ค่ะ


ถ้าสาวๆ มีอาการตัวบวม : (ใครที่ตัวบวมอยู่ก่อนหน้านี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้นะคะ ต้องพึ่งแอพโดมิไนซ์เซอร์แล้วล่ะ 5555+) อาหารช่วยได้ อาการตัวบวมจะทำให้สาวๆ ดูอ้วนขึ้นโดยปริยาย ฉะนั้นต้องงดอาหารที่จะทำให้ตัวบวมมากขึ้น อย่างของเค็มๆ ขนมอบกรอบใส่เกลือทั้งหลาย ที่สำคัญต้องดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้น้ำล้างโซเดียมในตัวเราออกมา ตัวจะได้บวมน้อยๆ หน่อยยังไงล่ะคะ


ถ้าสาวๆ อยากกินของจุบจิบ : อาหารช่วยบำบัดได้ค่ะ แคลเซียมจะช่วยปรับระดับฮอร์โมนให้คงที่ทำให้ความอยากกินนั่นกินนี่โดยไม่มีเหตุผลสลายตัวไปได้ อาหารที่สาวๆ ต้องกินเข้าไปมากๆ ในช่วงนี้จึงได้แก่ของที่มีแคลเซียมเยอะๆ เช่น นม ปลาตัวเล็ก โยเกิร์ต เต้าหู้ คะน้า เป็นต้น


ถ้าสาวๆ มีอาการปวดท้อง : ที่มาของความปวดสุดขีดนี้เกิดจากกล้ามเนื้อในช่องท้องเกร็ง ชั่วโมงนี้สิ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการเกร็งให้คุณก็คือ อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียมมากๆ อย่างผักโขม กระเทียม ถั่ว เมล็ดธัญพืชต่างๆ รีบๆ กินไว้ก่อนมีประจำเดือนยิ่งดีนะจ๊ะ


เหล่านี้ก็คืออาการหลักๆ ที่สาวๆ ส่วนใหญ่มักเป็นในช่วงวันนั้นของเดือน รู้ที่มาที่ไปแล้วก็อย่าลืมป้องกันอาการเหล่านี้ให้ถูกวิธีด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพของสาวๆ “วันนั้น” ของเดือนนี้สาวๆ จะได้ไม่ต้องเพลียยังไงล่ะคะ

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผลัดวันประกันพรุ่ง


"ข้อมูลจากศูนย์การเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต (Pennsylvania State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา อธิบายว่า เหตุผลที่คนชอบผลัดวันประกันพรุ่งมี 4 ประการ ดังนี้

1.คิดว่ามีเวลาน้อยเกินไปที่จะจัดการ หรือไม่แน่ใจว่าจะเริ่มงานตอนนี้ดีหรือไม่ เพราะอาจมีเป้าหมายอื่น เช่น ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนหรือทำกิจกรรมที่ชอบ
2.รู้สึกว่างานยากเกินไป จนไม่สามารถควบคุมสมาธิให้จดจ่อกับการทำงานได้ เช่น เมื่อเดินไปที่โต๊ะทำงาน ภาพจินตนาการถึงการพักผ่อนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนจะเข้ามาแทรกทันที
3.รู้สึกกลัวหรือกังวลกับงานที่กำลังจะทำ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีจำนวนมาก จนคุณรู้สึกว่าทำไม่ไหว หรือถ้าทำไหวก็อาจทำได้ไม่ดี
4.นิสัยส่วนตัวเป็นต้นเหตุของปัญหา เช่น ความไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้คิดว่าตนเองไม่สามารถทำงานนั้นสำเร็จลงได้ เกิดจากความเบื่อหน่าย หรือมีนิสัยคาดหวังความสำเร็จ หรือมีความสมบูรณ์แบบมาก จนไม่กล้าทำงานเพราะกลัวผิดหวัง


วิธีแก้นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง

-มองให้ออกว่าในบรรดาสาเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาปัญหาของคุณเป็นแบบไหน
-วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน คุณค่าและความสนใจพิเศษของตัวคุณ โดยทำป้ายติดเอาไว้เพื่อเตือนความทรงจำทุกครั้งที่เห็น
-หาความสนใจพิเศษ (ที่คุณจะมีได้) กับงานตรงหน้า เพื่อให้งานไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
-สร้างตารางเวลาอย่างฉลาด นั่นคือกำหนดช่วงเวลาพักสั้นๆ เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย
-กำจัดทุกสิ่งที่จะรบกวนการทำงานออกไปจากโต๊ะและปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ มีอุปกรณ์จำเป็นอยู่ใกล้มือ แต่ต้องไม่สะดวกสบายเกินไปจนไม่อยากทำงาน
-ทำให้เหมือนกับว่างานใหญ่ตรงหน้าเป็นงานเล็กๆ ที่ทำเป็นประจำ เพื่อลดความกังวล
-บอกตัวเองให้เชื่อมั่นว่างานตรงหน้ามีคุณค่ามากๆ และมากพอจะทำให้คุณพยายามเริ่มต้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากก็ตามที
ใครที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งลองนำไปแก้ไขดู พรุ่งนี้อาจจะมีอะไรดีขึ้น

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

19 ways to refresh your eyes ??‏

1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลงอย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้
2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆและหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว
3. อย่ามองข้ามมันเทศของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด
4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วยเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ
5. อย่าขี้เกียจเดินเพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ
6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา
7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัดอาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย
8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอเพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา
9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือนความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที
10. สวมหมวกปีกกว้างแว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด
11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืนเพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ
12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวันผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอินและซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย (คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยน่ะ)
13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส
14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัดเพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด
15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆเพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่
16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมองซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง
17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไปแม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร
18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้งผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท
19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือนทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

7 เคล็ดลับอ่านให้จำ ในเวลาจำกัด



อ่านหนังสือกี่ทีกี่ครั้ง ก็จำไม่ได้สักที แถมไม่มีเวลาแล้วด้วย สมาธิก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ไม่อ่านก็ไม่ได้ด้วย เกิดสอบตกขึ้นมาจะเศร้ากว่าเดิม ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ก็มีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้อ่านหนังสือสอบให้จำได้อย่างสบายๆ มาบอกกันค่ะ ไปดูกันเลยจ้า...




1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อน หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัว


2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดันและกระตุ้นให้มีความอยากในการอ่านหนังสือ ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือ พยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เราได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจหรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้ อิอิ


3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆวิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กันและวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น


4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง


5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา


6. เตรียมตัวและให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ


7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้วก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพักเช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โยคะช่วยเพิ่มความสูงได้


อยากเพิ่มความสูงให้กับตัวเองกันรึเปล่าจ๊ะ ถ้าอยากเพิ่มล่ะก็ ต้องมาเล่นโยคะ 3 ท่านี้เลยจ้ะ เพราะมันจะช่วยให้น สูงขึ้นได้ อ๊ะๆ อยากลองฝึกท่าโยคะกันแล้วใช่ไหมจ๊ะ งั้นไปเริ่มต้นกันเลย....



ท่าสุขอาสนะ : ท่านี้น้องๆ จะต้องนั่งขัดสมาธิกับพื้น หงายฝ่ามือทั้งสองข้างบนเข่า กำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้ลึกและสัมพันธ์กัน หายใจเข้า-ออกลึกๆ อย่างน้อย 5 ครั้ง ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะพร้อมๆ กับสูดลมหายใจเข้า ค่อยๆ วางแขนลงช้าๆ ขณะปล่อยลมหายใจออก




ท่าแมว : ท่าสุดท้ายนี้ก็ไม่ยากเช่นกันจ้ะ โดยน้องๆ จะต้องคุกเข่าโดยให้หัวเข่าสองข้างอยู่ห่างกัน วางมือสองข้างให้ตรงกับหัวไหล่ สูดลมหายใจเข้ายกสะโพกขึ้น พร้อมกับแอ่นตัว แหงนหน้าขึ้น ค่อยๆ ยืดตัวตรง และโก่งตัวขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะลง กลับสู่ท่าปกติ



ท่าสามเหลี่ยม : ท่านี้ไม่ยากจ้ะ เพียงแค่ยืนแยกขาห่างจากกันประมาณ 90 - 120 เซนติเมตร ให้เท้าทั้งสองข้างขนานกัน หันเท้าซ้าย ไปออกจากลำตัว 90 องศา หันเท้าขวาเข้าหาลำตัว 45 องศา หายใจเข้าพร้อมกับยกแขนขึ้นจากข้างลำตัวให้ขนานกับพื้น หายใจออกพร้อมแนบศีรษะให้ติดกับต้นแขนซ้าย ยืดขาซ้ายให้ตรง หายใจเข้าลึกๆ เอนตัวไปทางด้านซ้ายจนสุด ยืดแขนซ้ายมาจับข้อเท้าซ้ายและยกแขนขวาตั้งตรง แหงนศีรษะมองมือขวาและสูดลมหายใจเข้า-ออกลึกๆ หลายๆ ครั้ง ทำซ้ำท่าเดิมทางด้านขวา

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ระวัง!! บุหรี่ปลอมจีนระบาดในไทยทำตายเร็วกว่าเดิม


สิงห์อมควันระวังไว้ให้ดี บุหรี่ปลอมจากจีนระบาดแล้วในไทย เลียนแบบยี่ห้อดัง “กรองทิพย์” ขายราคาถูก แถมสารก่อมะเร็ง

นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย (สสท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาบุหรี่ปลอมเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆทั่วโลก โดยมาจากแหล่งผลิตเดียวกันคือ ประเทศจีน ในเมืองหยิวนเซียว เมืองขนาดเล็กในมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งนับว่าเป็นนครหลวงบุหรี่ปลอมของโลก โดยในแต่ละปีจีนสามารถผลิตบุหรี่ปลอมได้ถึง 400,000 ล้านมวน ทำให้ 99% ของบุหรี่ปลอมในสหรัฐอเมริกา และ80% ในสหภาพยุโรป เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งมาจากจีน
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต


“บุหรี่ปลอมมีสารพิษมากกว่าบุหรี่ เพราะมีสารโลหะหนักต่างๆมากกว่าบุหรี่ทั่วไป คือ มีแคดเมียมมากกว่า 5 เท่า สารตะกั่วมากกว่า 6 เท่า มีสารหนูปริมาณที่สูงกว่า มีทาร์มากกว่า 16 เท่า มีนิโคตินมากกว่า 80% และมีก๊าซคารบอนมอนนอคไซด์ มากกว่า 133% ทำให้เสี่ยงต่อสารก่อมะเร็งมากกว่าบุหรี่ทั่วไป” นพ.หทัยกล่าว


นพ.หทัย กล่าวว่า สำหรับการลักลอบนำเข้าบุหรี่ปลอมในประเทศไทย จากข้อมูลของกรมสรรพสามิตแจ้งว่าในปี 2552 สามารถจับยาสูบผิดกฎหมายได้ถึง 12,796 คดี ซึ่งสูงกว่าปี 2551 ถึง 2,395 คดี มีจำนวนของกลางเป็นยาสูบในประเทศ 300,000 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 400,000 ซอง ในจำนวนนี้ 280,000 ซอง ถูกระบุว่าเป็นบุหรี่ปลอมเลียนแบบบุหรี่ในประเทศ และเมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา กรมศุลกากรยังจับกุมการลักลอบนำเข้าบุหรี่กรองทิพย์ปลอมถึง 102 หีบหรือ 51,000 ซอง ตามแหลมฉบังซึ่งมีต้นตอมาจากประเทศจีนอีกด้วย ซึ่งในสหภาพยุโรปที่ประสบปัญหาบุหรี่ปลอมเช่นเดียวกับไทย ได้แก้ปัญหาด้วยการใช้เครื่องสแกนตู้ขนสินค้า เช่น ที่เมืองท่ารอตเตอร์แตม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เครื่องสแกนราคา 14 ล้านยูโร สามารถสแกนสินค้าผิดกฎหมายโดยเฉพาะบุหรี่เถื่อน โดยช่วยไม่ให้สูญเสียภาษีที่พึงเก็บได้ถึง 20 ล้านยูโร เพียงช่วงการใช้งาน 6 เดือน


นางศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า ประเทศไทยควรมีการปรับปรุงการจัดเก็บข้อมูลเรื่องบุหรี่ปลอมอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดทำโครงการปราบปรามบุหรี่ปลอมเช่นเดียวกับในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เพื่อไม่ให้บุหรี่ปลอมทะลักเข้ามาในประเทศไทย เพราะเกิดผลเสียทั้งสุขภาพของคนไทยและผลเสียทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน


วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทิ้งซะเครื่องสำอางหมดอายุ!!!

เครื่องสำอางที่หมดอายุอาจเป็นสาเหตุของปัญหาผิวหน้า เช่น สิว ฝ้า กระ หรือ ผื่นแพ้ต่างๆ ดังนั้น สาวๆ จึงควรสังเกตวันหมดอายุก่อนใช้ และถ้าชิ้นไหนหมดอายุแล้วก็ให้โละทิ้งอย่าเสียดาย


แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ให้ความรู้ว่าปัญหาที่น่ากลัวกว่าการเกิดสิวบนใบหน้าเนื่องจากการใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ ก็คือ อาจก่อให้เกิดโรคผิวหนังเรื้อรัง เยื่อบุตาอักเสบ ปากเปื่อย ฯลฯ … ด้วยเหตุนี้เองสาวๆ ถึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของวันหมดอายุยังไงล่ะคะ ...

ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันซิคะว่าเครื่องสำอางชิ้นไหนบ้างที่หมดอายุแล้ว

>>> เริ่มจากกลุ่มของเหลว รองพื้นมีอายุเพียง 1 ปีหลังเปิดใช้ ถ้าเป็นแบบผสมน้ำ แต่ถ้ามีน้ำมันผสมหยวนได้ถึง 1 ปีครึ่ง วิธียืดอายุให้เก็บไว้ในตู้เย็น ปิดฝาให้สนิท อย่าสัมผัสรองพื้นโดยตรงใช้แปรงหรือฟองน้ำดีที่สุด ถ้ามีกลิ่นเหม็นหืนหรือเนื้อครีมเปลี่ยนสีต้องทิ้งทันที


>>> กลุ่มลิควิดอายไลเนอร์และมาสคาร่าจะมีอายุสั้นที่สุดเพียง 3-6 เดือน หลังเปิดใช้ เนื่องจากด้ามแปรงที่ปัดขนตาเป็นที่สะสมของแบคทีเรีย วิธียืดอายุ ห้ามปั๊มมาสคาร่าเพราะจะทำให้อากาศเข้าวิธีใช้แค่ขยับแปรงกระทบด้ามเบาๆ 1 ทีก็พอ


>>> น้ำยาทาเล็บมีอายุ 1 ปี หลังเปิดใช้ เขย่าขวดบ่อยๆ ช่วยไม่ให้น้ำยาทาเล็บเกาะตัวกัน แต่ถ้าแข็งมากมีเคล็ดลับใช้น้ำยาล้างเล็บผสมลงไป เขย่าทำให้สีละลายเพิ่มอายุการใช้งาน


>>> น้ำหอม ถ้ายังไม่เปิดใช้เก็บให้ห่างแสงแดดและความร้อน มีอายุนานถึง 3 ปีแต่ถ้าใช้แล้วอยู่ได้ราว 1 ปีครึ่ง สังเกตถ้ามีกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนหรือน้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแปลว่าหมดอายุ


>>> ต่อไปเป็นกลุ่มเนื้อครีม เช่น ลิปสติก ดินสอเขียนขอบปากขอบตา บรัชออนหรืออายแชโดว์แบบครีม มีอายุใช้งานหลังจากเปิดใช้นานถึง 2 ปี แต่ต้องพยายามอย่าใช้มือสัมผัสโดยตรง ควรใช้แปรงแต่ละประเภทแทน แต่ระวังลิปกลอสมีอายุใช้งานเพียง 1 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะแบบจิ้มจุ่ม หากหมดอายุ สีและน้ำมันจะแยกชั้นเห็นชัดเจน รวมทั้งกลิ่นก็จะเปลี่ยนไป


>>> ส่วนสกินแคร์บำรุงผิว ให้ลองสังเกตวันหมดอายุข้างกล่อง ระบุคำว่า MFD หรือ MFG คือวันผลิต นับต่อใช้ได้หลังจากเปิดฝาประมาณ 1 ปี แต่ส่วนใหญ่ให้ดูสัญลักษณ์คล้ายรูปกระป๋องเปิดฝาที่ข้างขวด เช่น มีตัว เลข 12M อยู่ในกระป๋องแปลว่าหลังจากเปิดใช้มีอายุ 12 เดือน เป็นต้น


วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนาวนี้ระวัง..........ผิวอักเสบ


โรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic dermatitis) หากเกิดที่หนังศีรษะจะต่างจากรังแค (Dandruff) ตรงที่รังแคเป็นสะเก็ด เป็นขุยสีขาว หรือเทา และมีอาการคันหนังศีรษะ รังแคจะไม่มีอาการอักเสบบวมแดงที่หนังศีรษะเลย ส่วนโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณต่อมไขมัน จะมีอาการอักเสบของหนังศีรษะร่วมด้วย ถ้าเผลอไปแกะหรือเกาอาจมีน้ำเหลืองเยิ้ม หรือถ้าทิ้งไว้นานๆ ไม่รักษา สะเก็ดจะหนามากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้

โรคนี้ส่วนใหญ่มักพบในช่วงหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 18-40 ปี ในทารกระยะ 6เดือนแรก หรือในผู้สูงอายุก็พบได้เช่นกัน โดยพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าโรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับเชื้อ Pityrosporum ovale หรือ Pityrosporum orbiculare เป็นเชื้อยีสต์ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขน กินไขมันและโปรตีนของผิวหนังเป็นอาหาร ซึ่งในคนที่เป็นโรคนี้จะพบเชื้อ Pityrosporum ovale มากขึ้นผิดปกติ ก่อให้เกิดการกระตุ้นการลอกตัวของผิวหนัง ปรากฏเป็นขุยเล็กๆ เนื่องจากเชื้อยีสต์นี้ เป็นเชื้อที่มีอยู่เป็นปกติ (Normal flora) จึงอาจมีโอกาสเป็นใหม่ได้อีกเสมอ

นอกจากนี้เชื้อ Pityrosporum ovale สามารถเปลี่ยนไขมันธรรมดาให้เป็นกรดไขมันได้ และพบว่าผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีผนังรูขุมขนไม่แข็งแรง เซลล์หนังกำพร้าบริเวณนั้นๆ จะหลุดลอกง่ายเนื่องจากขาดไขมันชนิด linoleic acid ทำให้เซลล์เหล่านี้หลุดลอกง่ายขึ้น เมื่อมีกรดไขมันมารบกวน ทำให้เกิดการอักเสบแบบเรื้อรังเป็นๆ หายๆแสงแดด ความร้อน ความหนาวเย็น อากาศแห้ง ความเป็นด่างของสบู่ และเครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์ สามารถกระตุ้นให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงและลอกเป็นขุยได้

การดูแลรักษาเมื่อเป็นโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน

1. การดูแลรักษา
โรคนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันและลดข้อแทรกซ้อนจากยาที่ใช้ในการรักษา เช่น ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ และยาทาลดเชื้อยีสต์ สำหรับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ถ้าใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้เป็นสิว ผิวบาง เส้นเลือดขยาย และติดสเตียรอยด์ได้

2. การดูแลผิว
- การล้างหน้า ควรใช้สบู่ที่ไม่ระคายเคืองต่อผิว หรืออาจใช้น้ำเปล่าล้างหน้า ล้างหน้าด้วยความนุ่มนวล ไม่ควรล้างหน้าบ่อยจนเกินไป
- เลือกใช้ครีมชุ่มชื้นที่ไม่มีสารก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้ง่าย และเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว
- ควรเลือกใช้เครื่องสำอางชนิดที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย และไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงและลอกเป็นขุยได้
- ควรทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวหน้าจากการรบกวนจากรังสีในแสงแดด

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ร กับ ล กระดกลิ้นกันถูกต้องหรือเปล่า?


ทาง ศ.เกียรติคุณ ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตและนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประ เทศไทย กล่าวถึงการใช้ภาษาไทยใน "สื่อวิทยุกระจายเสียง" ว่า เวลานี้ภาษาไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ สาเหตุมาจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ไม่มีการดูแลหลักวิธีการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ทั้งที่สื่อมวลชนเป็นกลุ่มอาชีพที่มีบทบาทสำคัญต่อภาษาไทย ที่ควรเป็นต้นแบบในการใช้ภาษาไทยให้แก่สังคม จะเห็นได้ว่าคำไหนที่สื่อใช้ผิดจะส่งผลให้คนในสังคมใช้ผิดตาม ทำให้การใช้เป็นเรื่องปกติและกลายเป็นคำที่ถูกต้อง และคำใดที่สื่อไม่ได้หยิบมาใช้ คำภาษาไทยคำนั้นจะถูกลืมเช่นกัน
ทางด้าน ผศ.ดร.มณีปิ่น พรหมสุทธิรักษ์ คณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ปัญหาแรกที่พบในการใช้ภาษาไทยของสื่อวิทยุกระจายเสียง คือ การกระดกลิ้นพยัญชนะ ร.เรือ มากเกินไปจนกลายเป็นสำเนียงแขก และยังมีการใช้ภาษาที่ผิดกาลเทศะอีกหลายคำ เช่น คำว่า ดุษฎี ซึ่งมีความหมายถึงการยอมรับโดยพึงพอใจ แต่สื่อมักนำมาใช้กับการยอมรับผิด ขณะที่มีการออกเสียงคำว่า กากบาท ผิดเป็น กา-ละ-บาด เป็นต้น
สำหรับการใช้ภาษาไทยคำหนึ่ง ภาษาอังกฤษคำหนึ่ง สามารถใช้ได้แต่ต้องใช้ให้ถูกต้องตามความหมายและออกเสียงให้ชัดเจน โดยเฉพาะการอ่านชื่อเฉพาะหรือชื่อบุคคล ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษจะไม่มีวรรณยุกต์กำกับ ดังนั้นจำเป็นต้องศึกษาให้แน่ใจก่อน
ฟังวิทยุไป ก็แอบตกใจไปนะคะ เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ บางคำใช้ภาษาไทยได้ แต่ว่าก็ใช้ภาษาอังกฤษแทน บางครั้งก็ต้องดูความเหมาะสมด้วยนะคะ ส่วนเรื่องกระดกลิ้นนี่ ยังกระดกได้อย่างมั่นใจอยู่ค่ะ ลิ้นยังไม่แข็ง อิอิ ว่าแล้ว ชาวเด็กดีก็หันมาใช้คำให้ถูกต้อง และอ่านออกเสียงให้ถูกต้องกันและชัดเจนกันดีกว่านะคะ

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เกาะเกร็ด นนทบุรี


ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ หลังจากได้ดำเนินการขุดคลองมหาชัยได้แล้วเสร็จในปี จ.ศ.๑๐๘๓ แล้ว ในปีถัดมาได้มีพระราชดำริให้ขุดคลอง เตร็ดน้อย ลัดคุ้งปากคลองบางบัวทองซึ่งอ้อมมากให้เป็นเส้นตรง จากบริเวณใกล้ๆ ท่าเรือปากเกร็ด ตรงไปผ่านหน้า วัดสนามเหนือ วัดกลางเกร็ด ไปทางวัดเชิงเลนซึ่งแต่แรกขุดนั้นเป็นคลองลัดเกร็ด(หรือเตร็ดหมายถึงลำน้ำเล็กลัดเชื่อมลำน้ำสายใหญ่สายเดียวกัน ) นั้น มีขนาดกว้างเพียง ๖ วา ลึก ๖ ศอก ยาว ๒๙ เส้น แต่เนื่องจากแรงของกระแสน้ำที่ไหลพัดผ่านนั้นแรงมาก จึงได้พัดเซาะตลิ่งพังและขยายความกว้างขึ้นมา จนในปัจจุบันจึงได้กลายเป็น แม่น้ำลัดเกร็ด ไปแล้ว และพื้นที่บนแผ่นดินเดิมซึ่งมีลักษณะเป็นแหลมที่ยื่นออกไปโดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านเป็นรูปเกือกม้า ก็กลายเป็นเกาะไป จึงเรียกว่า เกาะเกร็ด ส่วนตรงปากทางที่ขุดก็เรียกว่า ปากเกร็ด

ด้วยประการฉะนี้ ความจริงปากเกร็ดนั้นเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง อาทิเช่นที่ วัดกู้ วัดตำหนักใต้ หรือ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ เป็นต้น และในละแวก ปากเกร็ด ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่นวัดบ่อ ท่าเรือปากเกร็ด ตลาดริมทางเท้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง วัดสนามเหนือและวัดกลางเกร็ด ถ้าจะข้ามไปยัง เกาะเกร็ด ก็จะได้ชมวัดวาอาราม พิพิธภัณฑ์ฯ ศูนย์การผลิตเครื่องปั้นดินเผา ชมสินค้าและวิถีชีวิตชาวมอญแถบนั้น ซึ่งอยู่กันอย่างเรียบง่ายและดำรงรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมเดิม ถ้าท่าน ล่องเรือ รอบๆ เกาะ ก็สามารถแวะบ้านขนมหวานในคลองบางบัวทองเพื่ออุดหนุน ขนมหวานแบบไทยๆ รสชาติอร่อยด้วย..

สำหรับชาวกรุงเทพ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง คือ เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เกาะเกร็ดเป็นเกาะขนาดใหญ่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นชุมชนที่เจริญมาตั้งแต่ ปลายสมัยอยุธยา วัดต่างๆ ที่สร้างขึ้นบนเกาะเป็นโบราณสถานที่สวยงามสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายทั้งสิ้น มีฐานะเป็นตำบลแบ่งเขตการปกครองเป็นหมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 7 หมู่บ้าน เกาะเกร็ดเกิดขึ้นจากการขุดคลองลัดลำน้ำเจ้าพระยาตรงส่วนที่เป็นแหลมยื่นไปตามความโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยา ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.2265 เรียกคลองนี้ว่า “คลองลัดเกาะน้อย” ต่อมากระแสน้ำได้เปลี่ยนทิศทางทำให้คลองขยายกว้างขึ้น เพราะถูกแรงของกระแสน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงกลายเป็นแม่น้ำและเกาะเกร็ดมีสภาพเป็นเกาะ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีชม...ฝนดาวตกลีโอนิดส์



นักดาราศาสตร์ประมาณการโอกาสเห็นฝนดาวตกลีโอนิดส์ในไทยสูงสุดช่วงเวลาราว 04.43 น.ของเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ อัตราความชุกที่ 100-500 ดวงต่อชั่วโมง!

นับเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่ง ฝนดาวตก ดูสวยงาม น่าสนใจ น่าตื่นเต้น และดูได้ง่ายด้วยตาเปล่า ท้าทายการศึกษา เรียนรู้และเข้าใจเรื่องของธรรมชาติเพิ่ม

สาเหตุของการเกิดฝนดาวตก เกิดจากดาวหางซึ่งเป็นก้อนน้ำแข็งที่ประกอบด้วยฝุ่นหินเกาะกลุ่มกันจำนวนมาก เมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ก้อนน้ำแข็งจะเกิดการระเหิด ทิ้งแนวฝุ่นหินเป็นสายธารยาว เมื่อโลกโคจรเข้าไปตัดกับสายธารดังกล่าวนี้ เศษฝุ่นหินก็จะเคลื่อนตัววิ่งเข้ามาในบรรยากาศของโลกด้วยความเร็วสูง และเกิดการเสียดสีจนลุกไหม้ปรากฏเป็นขีดแสงสว่างให้เราเห็น ที่เราเรียกว่า "ฝนดาวตก"

กรณี ฝนดาวตกลีโอนิดส์ หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโตนี้ เกิดจากการที่โลกโคจรผ่านเข้าไปในซากสายธารฝุ่นหินของดาวหาง 55 พี เทมเพล-ทัดเทิล ที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งโดยปกติ คาบการโคจรของดาวหางดวงนี้คือ 33.2 ปี ซึ่งในปีที่ครบรอบคาบการโคจรของดาวหาง เป็นการมาเติมเศษฝุ่นหินให้มากยิ่งขึ้น และเมื่อโลกโคจรผ่านเข้าไปในใจกลางสายธารของมัน ในปีนั้นโอกาสจะเกิดฝนดาวตกก็จะมีมากกว่าปีปกติ อย่างที่เราเรียกว่าปรากฏการณ์ "พายุฝนดาวตก"

จากบันทึกในอดีต ดังตัวอย่างใน ค.ศ.1966 ที่ฮาวาย ได้เกิดพายุฝนดาวตกที่มีอัตราการตกมากถึง 5-6 หมื่นดวงต่อชั่วโมง สำหรับชื่อของฝนดาวตกลีโอนิดส์ ก็มาจากการอ้างอิงกับแหล่งการเกิด คือ กลุ่มดาวสิงโต นั่นเอง คือแม้เราจะเห็นฝนดาวตกในทิศทางต่างๆ กัน แต่เมื่อเราลองลากเส้นย้อนกลับไปยังแหล่งการเกิดแล้ว ฝนดาวตกทุกดวงจะมาจากกลุ่มดาวสิงโต

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) อธิบายว่า ช่วงวันที่ 17-18 พฤศจิกายน แม้ไม่ใช่รอบปีของการเกิดพายุฝนดาวตกลีโอนิดส์ แต่จะมีโอกาสเห็นฝนดาวตกในอัตราความชุกมากกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากการคำนวณของนักดาศาสตร์หลายสำนัก พบว่า โลกจะโคจรตัดผ่านเศษซากสายธารฝุ่นหินของดาวหาง 55 พี เทมเพล-ทัดเทิล ถึงสองสายธารด้วยกัน ที่ทิ้งร่องรอยไว้ใน ค.ศ. 1466 และ 1533 โดยอัตราการตกราว 100-500 ดวงต่อชั่วโมง (อ้างอิงที่เมื่อกลุ่มดาวสิงโตมาอยู่ที่จุดกลางฟ้าเหนือศีรษะ) แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเห็นฝนดาวตกตลอดทั้งชั่วโมง และจำนวนฝนดาวตกที่เห็นก็ไม่ได้เห็นมากถึง 500 ดวง ตัวอย่างเช่น อัตราการตกที่ 400 ดวงต่อชั่วโมง เราเห็นแค่ช่วงเวลา 15 นาที นั่นคือ ในช่วงชั่วโมงนั้น เราจะเห็นดาวตกประมาณ 100 ดวง ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว"

ช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะมีโอกาสเห็นฝนดาวตกสูงสุดในครั้งนี้ ดร.ศรัณย์ชี้ชัดว่า ตั้งแต่ตีหนึ่งเป็นต้นไป แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ดาวตกลูกสวยๆ มักจะมาตอนประมาณห้าทุ่ม เป็นเวลาที่กลุ่มดาวสิงโตเพิ่งขึ้นจากขอบฟ้า คือจะเห็นเป็นไฟร์บอลล์ (ดาวตกดวงใหญ่) วิ่งพาดผ่านท้องฟ้าทิ้งร่องรอยให้เห็นเป็นลำสว่างทางยาวคล้ายรางรถไฟ ซึ่งความเร็วยังไม่สูงมาก ทำให้เราเห็นได้ง่าย สำหรับช่วงพีคสูงสุดของการตก นักดาศาสตร์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า คือเป็นเวลาประมาณ 04.43 น. ตามเวลาในไทยของเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน อัตราความชุกที่ 100-500 ดวงต่อชั่วโมง ซึ่งช่วงนั้นจะป็นเวลาที่ดาวสิงโตจะอยู่บริเวณกลางฟ้าพอดี นับเป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การชมมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของโอกาส เพราะถึงเวลาจริง เราอาจจะเห็นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้

เพื่อให้ได้อรรถรสของการชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา รังสิต ร่วมกับศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย ชวนเยาวชน ผู้สนใจสังเกตการณ์ ฝนดาวตกลีโอนิดส์ วันที่ 17 พฤศจิกายน เวลา 18.00 น. ถึงรุ่งเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หรือจะชมการแสดงในท้องฟ้าจำลอง เรื่อง "ฝนดาวตก" และชมภาพยนตร์ด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ เรื่อง "องค์ประกอบชีวิต" (ภาพยนตร์ที่ฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์) จัดแสดงและฉายในงานนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์อีกมากมาย สอบถามโทร.08-1571-1292 หรือ 0-2564-7000 ต่อ 1460

ฝนดาวตก เป็นความสวยงาม และเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมาก ได้เรียนรู้ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อื่นๆ ตามมามากมาย อย่างน้อย รู้ว่าจะศึกษาฝุ่นละอองรอบๆ ดวงอาทิตย์ ศึกษาวัตถุที่อยู่รอบๆ โลกว่ามีอะไรบ้าง" ทำให้เรารู้เพิ่มขึ้น

วิธีดูที่ดีที่สุดคือ การนอนหงายมองไปที่กลางฟ้าเหนือศีรษะ ฝนดาวตกมีลักษณะแสงสว่างวาบ เคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว จะพุ่งมาจากทุกทิศทาง มีสีสันสวยงาม เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลือง เพราะมีแร่ธาตุประกอบต่างๆ กัน เช่น แมกเนเซียม ทองแดง เหล็ก จึงให้สีที่แตกต่างกัน ปลายของดาวตกซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ จะทิ้งควันจางๆ เหมือนไอพ่น หากอยู่ในที่เงียบสงบ บางครั้งอาจได้ยินเสียงด้วย เรียกว่า โซนิกบูม และหากเป็นดาวตกขนาดใหญ่เมื่อเสียดสีกับบรรยากาศ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 วิธีเด็ด แก้หลับเวลากวดวิชา

9 วิธี “ทำอย่างไร...ถึงจะไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา”

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)
2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ
3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ
4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ

5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)
6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ
7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง
8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ
9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำมัน มาจากไหน ?


น้ำมันคือ ? ก่อนจะมาเป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ต้องผ่านกระบวนการกลั่นแยกจากน้ำมันดิบเสียก่อน น้ำมันดิบก็คือของเหลว ประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือเป็นสารกำมะถัน ไนโตรเจน และสารประกอบออกไซด์อื่น เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ที่ต้องใช้เวลานับล้านปี โดยมีความกดดันจากชั้นหิน ความร้อนใต้ผิวโลก และการสลายตัวของอนทรีย์สารตามธรรมชาติ จนทำให้ซากพืชซากสัตว์เหล่านั้นกลายเป้นสภาพเป้นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หรือที่เราเรียกกันชินปากว่า 'ปิโตรเลียม'


เมื่อมนุษย์เรา ขุด เจาะ ทะลวง เอาน้ำมันดิบขึ้นมาได้สำเร็จ ขั้นต่อไปคือ การเอาน้ำมันดิบไปผ่านกระบวนการกลั่นแยกเพื่อให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูป แต่ใช่ว่าปริมาณน้ำมันดิบทั่วทั้งโลกที่ขุดขึ้นมาเมื่อกลั่นแล้วจะมีสัดส่วปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเท่ากันทั้งหมด เพราะน้ำมันดิบแต่ละที่ก็จะมีคุณภาพแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของโรงกลั่นน้ำมันดิบแต่ละที่อีกด้วย


น้ำมันมาจากไหน? แหล่งน้ำมันดิบแหล่งใหญ่ของโลกก็คือแถบตะวันออกกลาง ข้อมูลปี 2551 พบว่า 60% หรือ 2 ใน 3 ของปริมาณสำรองน้ำมันของโลกที่ขุดพบแล้วอยู่ในตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศแถบนี้ผลิตน้ำมันได้ถึง 32% ของการผลิตทั้งโลกต่อวัน แต่กลับมีความต้องการเพียง 8% ของปริมาณที่ใช้ทั้งโลกเท่านั้น เหตุใดประเทศแถบตะวันออกกลางจึงมีแหล่งน้ำมันดิบมาก ขณะที่บางประเทศถึงไม่มีแหล่งน้ำมันดิบเลยล่ะ ? เนื่องจากกระบวนการเกิดน้ำมันดิบต้องอาศัยระยะเวลาและปัจจัยหลายอย่างผสมกัน เช่น บริเวณนั้นต้องมีสภาพทางธรณีวิทยาที่อำนวย ปริมาณของซากพืชซากสัตว์ที่สะสมตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ อุณภูมิ-ความร้อน-ความกดดันที่ช่วยย่อยสลายให้ซากสิ่งมีชีวิตหนาแน่น ก็เลยทำให้มีน้ำมันดิบมากเป็นพิเศษ ขณะที่ประเทศในบริเวณอื่นก็มีมากบ้าง น้อยบ้างผกผันตามปัจจัยที่กล่ามา


ประเทศไทยมีแหล่งน้ำมันหรือเปล่า? คำตอบคือ มี แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของประเทศ ไทยสามารถผลิตน้ำมันได้ 15% ของปริมาณที่ใช้ทั้งประเทศ ส่วนอีก 85% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แหล่งน้ำมันดิบในไทยจะอยู่ที่ แหล่งอำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ แหล่งสิริกิติ์ จ.กำแพงเพชร แหล่งน้ำมันกำแพงแสน จ.นครปฐม และ อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี แหล่งน้ำมันบึงม่วง และ บึงหญ้า จ.สุโขทัย แหล่งน้ำมันวิเชียรบุรี และศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ส่วนทางใต้ก็มีในอ่าวไทย อาทิ แหล่งเบญจมาศ ปัตตานี ทานตะวัน จัสมิน

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด


อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเอง มองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้

1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถ อยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่น ถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15 จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น

2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ

3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า..
มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบ และไหม้ของผิวหนัง
หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้น

ส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆ ก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100% ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง ควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันที ถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรคของเด็กฉลาด!!



มีโรคแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่น่าสนใจ


แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม (Asperger"s Syndrome)


โรคแปลกๆ ที่จะทำให้เกิดความผิดปกติในการเข้าสังคม ด้วยมีอาการหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าปกติฟังดูเหมือนว่าอาการของโรคนี้จะไม่รุนแรง หรือออกอาการโดดเด่นเหมือนกับการเป็นออทิสติก ดาวน์ซินโดรม หรือ ไฮเปอร์ ก็ตาม เพราะโรคนี้จะเกิดขึ้นกับเด็กปกติ แถมเป็นเด็กที่ เฉลียวฉลาด สติปัญญาดีสำหรับอาการของโรคนี้ ไม่ได้แสดงออกทางโรคร้าย รูปร่าง หน้าตา แต่จะไปออกเอาที่พฤติกรรม


อาการที่ว่านี้มีอยู่ 3 ประการ ด้านภาษา สังคม และพฤติกรรม


ด้านภาษา ที่ว่านี้ ไม่ได้อยู่ที่พูดไม่ชัดหรือติดขัดในเวลาพูดแต่จะอยู่ที่ความเข้าใจในเรื่อง ที่จะพูด โดยเฉพาะเรื่องแฝงนัย กำกวม อย่างมุกตลก คำเปรียบเปรย และคำประชดประชันต่างๆ หรือคำผวน


ด้านสังคม ก็จะออกในแนวที่ไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่ค่อยมองหน้าหรือสบตาเวลาพูดคุย แยกตัวอยู่คนเดียวไม่ค่อยสนใจบุคคลรอบข้าง เล่นกับเด็กคนอื่นไม่ค่อยเป็น ไม่รู้จักการทักทาย ยับยั้งชั่งใจหรือรอคอยไม่เป็น


ส่วนด้านพฤติกรรม จะเห็นได้จากการที่ชอบทำอะไรซ้ำๆ ระดับที่เรียกได้ว่า หมกมุ่น โดยเฉพาะกับเรื่องที่ซับซ้อน อย่างเช่น แผนที่โลก วงจรไฟฟ้า ยี่ห้อรถยนต์ ดนตรีคลาสสิก ไดโนเสาร์ ระบบสุริยจักรวาล เป็นต้น


ส่วนต้นเหตุของโรคแอสเพอร์เกอร์นี้ยังไม่ทราบที่มาที่ไป แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่ามีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งการทำงานที่ผิดปกติทางสมอง พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม


น. พ.จอม ชุมช่วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเด็กที่เป็นโรคนี้ว่า บางคนอาจมีปัญหาเรื่องที่ไม่สามารถมีสมาธิกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานนัก หรือมีปัญหาในการจัดลำดับเรื่องต่างๆ แม้จะมีทักษะในบางเรื่องที่อาจจะดูดีกว่าเด็กอื่นก็ตาม


เด็กเหล่านี้จะไม่ยอมเข้าสังคม ไม่พูดคุย ไม่ร่วมกิจกรรมใดๆ บางรายถึงขนาดยอมให้ครูตี เพราะไม่ส่งการบ้าน ที่ร้ายไปกว่านั้นเด็กกลุ่มนี้จะชอบทำอะไรก็จะทำแบบสุดโต่ง และจะมีความอ่อนไหวมาก เวลาที่เขารักใครก็จะรักจริง


วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครคิดค้น...หมากฝรั่ง



หมากฝรั่ง (Chewing Gum)

ปิ๊ง! จากชาวมายันเคี้ยวชิเคิลหมากฝรั่งเกิดจากยางสีขาวขุ่นของต้นไม้ในตระกูลละมุด (ผลละมุด)นั้นแหละบางทีเรียกว่า “ชิเคิล” (chicle) ที่ชาวมายันแห่งประเทศเม็กซิโกนำมาเคี้ยวบริหารฟัน บริหารกรามมาแต่โบราณ เป็นหลายศตวรรษย้อนหลัง

ในปี ค.ศ. 1845 นายชาร์ลส์ อดัมส์ (Charles Adams) เป็นนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันได้ยางชิเคิลมา เขาสนใจยางนี้มาก แต่ไม่ใช่เพื่อเคี้ยว หากแต่นำมาทำยางหนังสติ๊ก หน้ากาก รองเท้าบู๊ท หากทว่าสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเอายางชิเคิลมาเคี้ยวเล่นตามแบบฉบับดั้งเดิม เขาเกิดความคิดใหม่ขึ้น มาทันที เขาสามารถผสมรสชาติลงในยางชิเคิลได้นี่นา ไม่นานหลัการทดลอง ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เขาก็เปิดโรงงานผลิตหมากฝรั่งแห่งแรกของโลก

ต่อมา ค.ศ. 1869 นายวิเลียม เอฟ เซมเพิล (William F. Semple) ทันตแพทย์จากรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำหมากฝรั่งอันนี้ มาพัฒนาต่อ เพื่อสนับสนุนให้คนเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อบริหารกรามรักษา สุขภาพฟัน โดยเขาใส่ส่วนผสมที่ช่วยในการขัดฟัน ประเภทยาง ชอล์ก ถ่านและผงรากกลิโคริซ (licorice) แล้วจดทะเบียนลิทธิบัตรตั้งแต่นั้นมา

หมากฝรั่งดีต่อเหงือก ดีต่อฟัน แต่ไม่ดีกับสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นเมื่อเคี้ยวแล้ว จะทิ้งของให้ทิ้งเป็นที่เป็นทาง เพื่อไม่ให้ไปติดเปื้อนผู้อื่น เพราะชักไม่ออก ดึงไม่ออก เกิดความเสียหาย


วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้อดีของโยเกิร์ต เกิด เกิด เกิด



โยเกิร์ต นมเปรี้ยวที่คนไทยรู้จักในรูปแบบต่างๆ อาจจะไม่ใช่นมเปรี้ยวที่เรากำลังจะกล่าวถึงเพราะ โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่ดีจะต้องมีแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ จุดประสงค์ของการรับประทานนมเปรี้ยวที่ถูกต้องคือ การรับประทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก(ประมาณ หมื่นล้านต้วต่อกรัม)เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ
ส่วนนมเปรี้ยวที่เราหาซื้อกันในท้องตลาดทำขึ้นโดยมีการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตเสียด้วยซ้ำเพราะนำไปพาสเจอร์ไรซ์(ฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูง)และนำมาบรรจุกล่อง ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ต บางชนิดก็มีการใส่น้ำตาลมากจนน่าสงสัยว่าท่านจะได้ประโยชน์ได้เต็มที่หรือไม่ บางชนิดก็มีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลืออยู่น้อยมาก

แบคทีเรียที่ดีในโยเกิร์ต ได้แก่ แลคโตบาซิลัส เอซิโดฟิลลัส( Lactobacillus acidophillus) แลคโตบาซิลัส บัลการิคัส ( Lactobacillus bulgaricus) และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส ( Streptococcus thermophillus)

โยเกิร์ตสามารถ ทำได้จากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติคทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว

ดังนั้นโยเกิร์ตที่ดีควรทำจากนมชนิดต่างๆและแบคทีเรียที่ดีเท่านั้น ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน รสสังเคราะห์ ส่วนผสมเหล่านี้ล้วนทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อรสโยเกิร์ตธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถรับประทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อย

คุณประโยชน์จากโยเกิร์ต

1. โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและ โปรตีนเคซีน

2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ กรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonella typhidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรจะรับประทานโยเกิร์ตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

3. เป็นแหล่งวิตามิน บี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้

4. ช่วยรักษาโรค ท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะ จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต

5. ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

6. เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตจะมีโปรตีนมากกว่าในนม 20% และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปได้

7. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

8. ช่วยป้องกันมะเร็ง แลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง สามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารในเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

20 สิ่งต้องทำ! ในหน้าหนาว


เตรียมผิวหน้าและผิวกายให้พร้อมสวยรับลมหนาวที่กำลังจะมาถึงกันเถอะ


1. เมื่ออากาศหนาวมาเยือน ความชื้นในอากาศจะลดลง ร่างกายจึงดึงน้ำมาใช้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดอาการแห้งหรือแตกเป็นขุยได้ง่าย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการดื่มน้ำเปล่า (ไม่เย็น) ให้เยอะขึ้น เพราะร่างกายจะดูดซึมน้ำเปล่าเข้าสู่เซลล์ได้รวดเร็วกว่าน้ำชนิดอื่น


2. หากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่ใช้อยู่มีเนื้อบางเบาเหมาะสำหรับอากาศร้อน ขอให้เก็บเข้าตู้เย็นไปก่อน แล้วยอมลงทุนเพิ่มอีกหน่อย ซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อเข้มข้นหรือที่เป็น Oil Base มาใช้ พอหน้าหนาวผ่านไปค่อยหยิบของเดิมกลับมาใช้จะเวิร์คกว่า


3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าชนิดเซรั่มหรือเอสเซ้นซ์มาบำรุงผิวก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์ นอกจากเนื้อบางเบาซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ง่ายแล้ว ยังช่วยเร่งการฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นด้วย


4. นวดหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตและน้ำมันใต้ผิวตามธรรมชาติให้หล่อเลี้ยงผิวดีขึ้น


5. ถ้าปกติแล้วขัดผิวกายสัปดาห์ละครั้ง ขอให้ยืดเวลาออกเป็น 2 – 3 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อเก็บกักความชุ่มชื้นใต้ผิวไว้ และเลือกผลิตภัณฑ์สครับที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยสังเกตง่ายๆ ว่าหลังใช้ผิวจะไม่แห้งตึง แต่ถ้ามีอาการผิวแตกเป็นขุย ขอให้หลีกเลี่ยงการขัดผิวไปก่อนจะดีกว่า


6. ถึงแม้อากาศจะหนาวแค่ไหน ก็ต้องข่มใจไว้ ไม่อาบน้ำที่ร้อนจัด (เกิน 34 องศาเซลเซียส) เพราะไขมันที่เคลือบตามผิวหนังจะถูกล้างออกไปได้มากกว่าปกติ


7. หลังอาบน้ำหรือล้างหน้า ใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ ไม่จำเป็นต้องให้แห้งสนิท ลูบไล้ผลิตภัณฑ์บำรุงแล้วปล่อยให้ซึมซาบเข้าสู่ผิว


8. ถ้าไม่ชอบทาครีมเพราะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หลังอาบน้ำให้รีบชโลมออยล์ทั่วเรือนร่าง แล้วซับตัวด้วยผ้าขน หนูเบาๆ


9. หากอยากผ่อนคลาย แช่ตัวในน้ำอุ่น ให้แช่ได้ไม่เกิน 10 นาที แล้วอย่าลืมหยดออยล์หรือครีมน้ำนมลงในอ่างน้ำด้วย


10. เคล็ดลับฟื้นฟูผิวแห้งเป็นขุยเบื้องต้น ให้นำผ้าขนหนูหรือผ้าสำลีชุบนมรสจืดเย็นๆ มาวางบนผิวหนังส่วนที่แห้งหรือระคายเคือง ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก กรดแล็กติกในนมจะลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออก และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง

11. ในระหว่างวันให้ใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดพรมทั่วใบหน้า เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและเติมความรู้สึกสดชื่น


12. ช่วงนี้ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายที่ระบุไว้สำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์หรือเนื้อครีมเข้มข้นสูง (เนื้อบัตเตอร์) ส่วนเนื้อโลชั่นจะเหมาะกับช่วงหน้าร้อนมากกว่า


13. มาสก์หน้าสัปดาห์ละครั้ง โดยนำแผ่นมาสก์หน้าไปแช่ตู้เย็นก่อนใช้ นอกจากจะช่วยฟื้นฟูผิวแล้วยังช่วยกระชับรูขุมขนด้วย


14. สูตรมาสก์หน้าโฮมเมดทำเองง่ายๆ คือ อะโวคาโดบดครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 1-4 ถ้วย จนเข้ากัน พอกทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า น้ำมันจากอะโวคาโดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว


15. ในตอนเช้าแค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าไม่จำเป็นต้องล้างด้วยสบู่ เพื่อรักษาน้ำมันเคลือบผิวตามธรรมชาติ


16. เปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าเนื้อโฟม มาเป็นเนื้อครีมหรือออยล์จะเหมาะกับสภาพผิวมากกว่า


17. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผสมกรดต่างๆ เช่น AHA BHA เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวแห้งมากขึ้นได้


18. พกลิปบาล์มติดกระเป๋าไว้เสมอ หากเนื้อลิปบาล์มบนริมฝีปากเริ่มแห้งเมื่อไรให้รีบหยิบมาทาทันที


19. ถึงแม้ช่วงฤดูหนาวจะไม่ค่อยมีแสงแดด สาวๆ ก็ยังต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดเหมือนในฤดูร้อนเพราะไม่ว่าเวลาไหน รังสียูวีก็ยังมีอยู่ทุกที่


20. ผิวบริเวณส้นเท้าจะแตกได้ง่ายขึ้น จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเท้าลูบไล้ให้ทั่ว เน้นบริเวณส้นเท้าเป็นพิเศษ แล้วใช้แป้งเด็กทาบางๆ เพื่อดูดซับความมันก่อนสวมรองเท้าหุ้มส้น


วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 สิ่งที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขได้

เคล็ดลับดีๆ เพียงแค่ 9 อย่างนี้ ที่จะทำให้คนรอบๆ ข้างมีความสุขมากยิ่งขึ้นจ้า
1. ยอมรับตัวเราเอง ดังที่เราเป็นอยู่

2. คิดถึงสิ่งที่เราได้รับมากกว่าสิ่งที่เราขาดแล้วจงขอบคุณ แทนการบ่นว่าโทษนั่นโทษนี่


3. จงยอมรับผู้อื่นอย่างที่เขาเป็นอยู่ เริ่มต้นจากผู้ที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะครอบครัวของเรา เพื่อนบ้านของเรา เพื่อนๆที่เรารู้จัก

4. กล่าวถึงผู้อื่นในทางที่ดี และพูดให้ดังๆ

5. อย่าเปรียบเทียบตัวเราเองกับผู้อื่น เพราะว่าการเปรียบเทียบนี้ จะก่อให้เกิดความหยิ่งผยองว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น หรือเกิดความรู้สึกหมดหวังว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น และไม่ทำให้เรามีความสุขแต่อย่างใดเลย


6. ดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง โดยปราศจากความหวาดกลัวที่จะกล่าวว่า สิ่งที่ดีนั้น "ดี" และสิ่งที่เลวนั้น "เลว"

7. จงแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยอาศัยการพูดคุยกัน การเก็บความไม่พอใจไว้ คือการถอยหลังไปสู่ความโศกเศร้า

8. ในการพูดคุยนี้ ควรเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ก่อให้เกิดความสมานฉันท์ แล้วจึงกล่าวถึงสิ่งที่ขัดแย้ง หรือปัญหาที่เกิดขึ้น

9. จงยึดมั่นว่า "การให้อภัย" มาก่อน "การเป็นฝ่ายถูก"

เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ คิดว่าตัวเองยังทำข้อไหนไม่ได้หรือเปล่าเอ่ย ลองดูนะ หากทำได้ทั้งตัวน้องเองและคนรอบข้างต้องมีความสุขมากยิ่งขึ้นแน่นอนเลยจ้า

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สโตนเฮนจ์ คืออะไร



สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณทุ่งราบซอลส์เบอรี (Salisbury) ประเทศอังกฤษ ไม่มีใครทราบว่าเสาหินเหล่านี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่คาดกันว่ามันถูกสร้างขึ้นมานานกว่า 3,800 ปี และใช้เวลาสร้างไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี

แนวหินสโตนเฮนจ์ประกอบด้วย
แนวหินสีน้ำเงิน 80 ก้อน เรียงเป็นวงกลม 2 ชิ้น ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แห่งมาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่แนวหินสีน้ำเงิน ภายในมีแนวหินเรียงตัวกันคล้ายรูปเกือกม้าอีก 2 แนว ซึ่งแนวหินนี้จะมีการวางหินสองก้อนเป็นเสา และอีกก้อนเป็นคานด้านบน

นักวิชาการต่างถกเถียงกันว่า ใครเป็นผู้สร้างสโตนเฮนจ์ และวัตถุประสงค์ในการสร้างคืออะไร บางคนเชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว เพราะหินบางก้อนหนักถึง 4 ตัน และเคลื่อนย้ายมาจากภูเขาพรีเซลีในแคว้นเวลส์ ซึ่งห่างออกไปหลายร้อยไมล์ บางคนก็เชื่อว่า เป็นการสร้างของนักดาราศาสตร์โบราณ เพื่อสังเกตดวงดาว ใช้เป็นปฏิทินแสงแดด บ้างก็เชื่อว่า สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระเจ้า หรือเป็นสุสานของยักษ์
*นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

1 ปี คนไทยอ่านหนังสือกี่เล่ม ?

จากผลวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกปลูกฝังการอ่านจากพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด จะมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน ทั้งสติปัญญา ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ ด้านอารมณ์ และคุณธรรม


หนังสือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของความรู้มหาศาล และการที่เราได้อ่านหนังสือดีๆ สักหนึ่งเล่ม จะทำให้ไฟในการอ่านในตัว ถูกจุดขึ้นมา ดังนั้นรีบลองค้นหาหนังสือดีๆ จากเพื่อนๆ พี่ๆ เสีย เพราะยังมีหนังสือดีๆ เล่มต่อๆ ไป รอให้เราเปิดอ่านอยู่ รัฐบาลได้ประกาศเรื่อง การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้เริ่มในวันหนังสือเด็กแห่งชาติ 2 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา และเริ่มโครงการเสริมการอ่าน ด้วยการส่งเสริมให้เกิดหนังสือดีราคาถูก ถึงมือเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง


1 ปี คนไทยอ่านหนังสือกี่เล่ม ?

แต่อัตราการอ่านหนังสือของคนไทยเฉลี่ยกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยมีอัตราการอ่านหนังสือ 5 เล่มต่อคนต่อปี อัตราการซื้อหนังสือ 2 เล่มต่อคนต่อปี


ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สิงค์โปร์และเวียดนาม มีอัตราการอ่านเฉลี่ย 40-60 เล่มต่อคนต่อปี อีกทั้งหนังสือที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านคือตำราเรียน ซึ่งส่วนมากเกิดจากความจำเป็นอีกด้วย อัตราที่น้อยนิดนี้ ยังมีแนวโน้มลดลงตามลำดับเมื่อมีอายุสูงขึ้นด้วย


เป็นอัตราส่วนที่น่าใจหายแวบทีเดียว เพราะการอ่านเปรียบเหมือนการเพิ่มพูนความรู้ของเราให้ก้าวหน้า กว้างไกลยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังปลูกฝังนิสัยดีๆ ต่างๆ เช่น รู้จักการยอมรับ ส่งเสริมจินตนาการ รักการอ่าน มีสมาธิ ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า HS

เคย สังเกตกันบ้างไหมว่าเครื่องบินในประเทศไทยได้ใช้สัญลักษณ์การลงทะเบียน อากาศยานที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่ขึ้นต้นด้วย HS หรือที่เรียกกันว่า Hotel Sierra กันนั้น มีประวัติมาจากหนใดกัน

ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า HS
ประเทศที่ขอ Prefix ได้ในช่วงเวลาใกล้ๆกับประเทศไทย ก็มักจะเลือกสัญญาณเรียกขานที่บ่งถึงประเทศตัวเอง เช่น ญี่ปุ่น หรือ JAPAN ได้ JA ส่วน Germany ซึ่งเรียกตัวเองว่า ดอยช์แลนด์ ก็ได้ DL แล้วคำว่า HS ที่นำหน้าสถานีของประเทศไทยนั้นหมายความว่าอย่างไร

ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า HS
ท่านอาจารย์อุดม จะโนภาษเขียนไว้ว่า "เรื่องนี้ พระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ไชยากรณ์ ซึ่งเป็นโอรสของเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นยังมีอักษรอื่นก่อนตัว HS ที่ทรงเลือกอักษร HS เพราะจะให้มีความหมายว่า "His Majesty The King Of SIAM " ในสมัยนั้นประเทศไทยยังเรียกว่า SIAM อยู่ เวลาเรียกขานทางวิทยุทีหนึ่งก็จะได้เป็นการถวายความเคารพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยจึงมีสัญญาณเรียกขาน ว่า HS ตั้งแต่บัดนั้นมา สถานีโทรทัศน์ เช่น สถานีโทรทัศน์กองทัพบก มีสัญญาณเรียกขานทางวิทยุว่า HSATV ฯลฯ"

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เผยโฉม กระดาษคำตอบ GAT PAT ต.ค.53

การเปลี่ยนแปลงกระดาษคำตอบในการสอบ GAT และ PAT รอบตุลาคม 52 นี้มีความหมายเป็นนัยๆ บางอย่างมาว่า ข้อสอบ PAT บางวิชาจะแปลงร่างมีข้อเขียน หรืออัตนัยเพิ่มขึ้นมา จะเป็นวิชาไหน วันนี้ พี่ลาเต้ มีตัวอย่างกระดาษคำตอบมาให้ดูแล้วครับ..

>>> ข้อสอบ GAT พาร์ท 1 ยังเป็นเชื่อมโยงคิดวิเคราะห์ตามปกติ



>>> ข้อสอบ PAT 1 มาแนวใหม่ ! มีคำถามคำตอบทั้งปรนัย และอัตนัย



>>> ข้อสอบ PAT 2 มีให้ตอบแบบปรนัยหายห่วง



>>> ข้อสอบ PAT 3 แปลงร่างตาม PAT 1 มาติดๆกับปรนัย และอัตนัย




>>> ข้อสอบ PAT 4 มาแนวใหม่ แต่เชื่อว่าคงคุ้นตาน้องๆ หลายคน สถาปัตย์สู้ๆๆ




>>> ข้อสอบ PAT 5 หันมาเอาดีด้านการเชื่อมโยงอีกราย ว่าที่ครูทั้งหลายสู้ๆๆ




>>> ข้อสอบโซนภาษาอย่าง GAT พาร์ท 2 และ PAT 7 ยังเป็นปรนัยเหมือนเดิม


วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

5 เคล็ดลับสู่การเป็น "นักแปล" ที่ดี

"ภาษา" ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ ต่างก็หวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะมีโอกาสได้โชว์ความสามารถทางด้านภาษาใช่ไหมจ๊ะ ซึ่ง "การแปลหนังสือ" ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้แสดงให้คนอื่นได้รู้ถึงความสามารถ


การแปลหนังสือน้องๆ อาจจะนึกว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะเพียงแค่แปลจากสิ่งที่นักเขียนเขียนเท่านั้น แต่พี่ปัดขอบอกว่า "ไม่จริงเลยจ้ะ" ถ้าไม่เชื่อล่ะก็มาฟังความรู้สึกของนักแปลตัวจริงเสียงจริงกันเลยดีกว่า

โดยพี่ได้มีโอกาสไปพบปะพูดคุยกับนักแปลชื่อดังอย่าง "คุณ วัฒนิจ คงธนารัตน์" เจ้าของผลงานแปลมากมาย อาทิ "เคท ออสเตน สืบลับฉบับโรแมนซ์" , “สืบวุ่น...กรุ่นกลิ่นไวน์" , “ใบสั่งฆ่า" ฯลฯ ที่เจ้าตัวบอกถึงเคล็ดลับในการเตรียมตัวเป็นนักแปลว่า....

"อยากเป็นนักแปล อันดับแรกเลย 'ต้องขยันอ่าน' ค่ะ หากใจไม่รักการอ่านก็คงจะทำงานได้ยาก เพราะการแปลหนังสือต้องอ่านหนังสือทั้งเล่ม และทำความเข้าใจกับมัน

อันดับที่สอง 'ต้องเป็นคนรักษาเวลา' เพราะหากเราไม่รักษาเวลา ตารางงานที่ทางสำนักพิมพ์วางไว้ก็อาจคลาดเคลื่อนได้

อันดับที่สาม 'ต้องขยันสังเกต และรู้จักพลิกแพลง' เนื่องจากศัพท์ หรือสำนวนภาษาอังกฤษบางคำก็ไม่ได้มีความหมายตรงภาษาไทยเสมอไป เราต้องคิดเอาเองว่า มันควรจะเข้ากับสุภาษิตแบบใด ข้อนี้รวมไปถึงคำแสลงต่างๆด้วยนะคะ

อันดับสี่ 'ความใส่ใจ' เพราะหนังสือแต่ละเล่มที่เราได้รับมา อาจจะมีเรื่องราวเฉพาะทางแตกต่างกันไป เราจะต้องพยายามหาความรู้ในเชิงลึกสำหรับด้านนั้นๆ เพื่อจะได้แปลเรื่องราวออกมาให้คนอ่านสัมผัสมันอย่างสนุกสนานและถูกต้องด้วยนะคะ

อันดับห้า 'ความขยัน' งานแปลไม่ใช่งานง่ายๆจะต้องอาศัยความขยันและอดทนบวกกับความรักหนังสือ จึงจะผลิตผลงานออกมาสู่ท้องตลาดได้ค่ะ"

การเป็นนักแปลนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของน้องๆ เลยจ้ะ เพียงแค่มีความตั้งใจและฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ น้องๆ ก็สามารถทำได้แล้วจ้ะ และถึงแม้จะชื่นชอบภาษามากขนาดไหน น้องๆ ก็ต้องรู้จักใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องก่อนนะจ๊ะ เพราะเป็นภาษาประจำชาติไทยของเรา

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Victoria's Secret เคล็ดลับความสวยของสาวอเมริกัน



เริ่มจากในปี ค.ศ. 1977 รอย เรมอนด์ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) นักธุรกิจชื่อดังซึ่งจบการศึกษาจาก Stanford Graduate School of Business ได้ริเริ่มคิดจะสร้างแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงขึ้นมา โดยสาเหตุก็เกิดมาจาก รอย เรมอนด์เขาเกิดความเขินอายเวลาที่ต้องไปซื้อพวกเสื้อผ้าหรือเครื่องชั้นในสตรีให้กับภรรยาเขานั่นเองล่ะค่ะ (น่ารักเนาะ) โดยได้เปิดชอปแรกขึ้นที่ห้างสรรพสินค้า Stanford Shopping Center และก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจนต้องขยายสาขาอื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในการลงทุนเพื่อจะสร้างแบรนด์นี้ เขาต้องใช้เงินมากถึง $80,000 หรือประมาณ 4 ล้านบาท แต่ก็นับว่าคุ้มค่ามาก เพราะเพียงปีเดียว บริษัทก็สามารถสร้างรายได้มากถึง $500,000 เลยค่ะ

แต่ในปี 1982 เขากลับตัดสินใจขายต่อกิจการ Victoria Secret ซึ่งในขณะนั้นมีชอปทั้งหมด 6 ชอป ให้แก่บริษัท The Limited ซึ่งบริษัท The Limited นี้ ยังผลิตสินค้าอีกมากมายหลายแบรนด์ รวมถึงยังเป็นเจ้าของ Bath & Body Works สกินแคร์ชื่อดังที่หลายคนชอบมองว่าเป็นคู่แข่งของ Victoria Secret นั่นเอง
แต่ ! ในวันที่ 10 ก.ค. 2007 The Limited ได้ขายหุ้นส่วน 75% ของ Victoria Secret และ Bath & Body Works ให้แก่บริษัท Sun Capital Partners ...จนถึงปัจจุบันมีชอปเสื้อผ้าของ Victoria Secret มากกว่า 1,000 ร้าน และมีชอปสินค้าประทินผิวมากกว่า 100 ร้าน ในอเมริกา
และในปี 1990 Victoria Secret ได้กลายเป็นแบรนด์เสื้อผ้าชั้นในสตรีที่มีเงินลงทุนสูงสุดในอเมริกา

ปัจจุบันสินค้าของ Victoria Secret เน้นที่เสื้อผ้าของผู้หญิง นำเสนอออกมาในแบบเรียบง่ายหรือ Casual โดยจะค่อนข้างเหมาะกับผู้หญิงวัยทำงานมากกว่าวัยรุ่น นอกจากนั้นยังมีสินค้าประทินผิวจำพวก Hair Care , Make up , Skin Care และ Body Care ที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีกลิ่นที่หอมติดทนไปทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น Enchanted Apple, Jojoba Butter Sweet , Amber Romance , Strawberry & Champagne , Vanilla Lace และอื่นๆ อีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้ ก็คือแชมพูและครีมนวดผมรุ่น So Sexy ที่เคยฮอทฮิตอยู่พักหนึ่ง ขอบอกว่าหอมมากๆ ค่ะ


สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดดึงดูดส่งเสริมการตลาดของ Victoria Secret นั่นคือมักจัดโปรโมชั่นลดราคาออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นพวกช่วงเทศกาลต่างๆ ยิ่งลดลงจนถูกมากๆ จนเหมือนแจกฟรีเลยล่ะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

โพลสำรวจ GAT- PAT

สวัสดีครับ.. วันนี้ มีโพลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสอบ GAT- PAT ครั้งที่ 2 มาฝากกันครับ โพลครั้งนี้ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากน้องๆ ที่เข้าสอบ GAT- PAT ครั้งที่ 2 ที่เข้ามาหาข้อมูลแอดมิชชั่นในเว็บไซต์เด็กดีดอทคอม

โดยโพลนี้ได้ทำการสำรวจตั้งแต่วันที่ 18-21 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งมีโพลที่น่าสนใจหลายหัวข้อเลย รับรองแล้วฟังผลจะต้องสะดุ้ง ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยครับ..



อ่านโพลเด็กดีครั้งนี้แล้ว สรุปได้ข้อคิดหลายอย่างนะครับ อย่างหนึ่งที่เห็นเลยก็คือ การสอบในรอบที่ 2 น้องๆ หลายคนไม่ค่อยได้เตรียมตัวมาเท่าที่ควร และมักจะคิดว่าจะไป หวังเอาในครั้งที่ 3 ซึ่งจะทำได้ หรือเปล่าก็ยังไม่รู้..

ดังนั้น ตราบใดที่การสอบ GAT- PAT มีให้สอบหลายครั้ง อารมณ์สอบเล่นๆ หรือมาลองสนามสอบย่อมเกิดขึ้นแน่นอน และท่ามกลางอารมณ์เหล่านี้แหละ คือนาทีทองของคนที่เตรียมตัวมาอย่างดี ที่จะพลิกให้เป็นโอกาสแซงหน้าเพื่อนๆ เข้าสู่เส้นชัยได้ ^_^

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

20 ก.ย. คือวันอะไร..

วันที่ 20 กันยายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น "วันเยาวชนแห่งชาติ" ค่ะ แล้ววันนี้มีความเป็นมาอย่างไร สำคัญอย่างไรนั้น ??


วันเยาวชนแห่งชาตินี้เกิดขึ้นจากการที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2528 เป็นปีเยาวชนสากลค่ะ เพื่อที่จะมุ่งเน้นให้เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15 - 25 ปี ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต และสามารถช่วยสร้างเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

และที่สำคัญ วันที่ 20 กันยายน ยังเป็นวันมงคลอย่างยิ่ง เนื่องมาจากเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์สองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติในขณะที่ยังทรงพระเยาว์

จึงถือเป็นวันสิริมงคลที่เยาวชนควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ ทางคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2528 กำหนดให้วันที่ 20 กันยายนของทุกปีเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ
วันเด็กยังมีคำขวัญประจำทุกปี วันเยาวชนแห่งชาติก็มีคำขวัญเช่นกันค่ะ โดยองค์การสหประชาชาติเค้าใช้คำขวัญว่า “Participation, Development and Peace” ซึ่งถอดความเป็นภาษาไทยว่า “ร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันพัฒนา ใฝ่หาสันติ” ซึ่งมีความหมายที่ดี และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง

ส่วนกิจกรรมในวันเยาวชนแห่งชาติ หน่วยงานต่างๆ ก็จะจัดขึ้นเป็นประจำค่ะ ซึ่งในปี พ.ศ. 2552 นี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ทุกภูมิภาคทั่วประเทศได้ร่วมกันจัดกิจกรรมขึ้น ในลักษณะของ “เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น การสรรหาและเชิดชูเยาวชนดีเด่นแห่งชาติและผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน การจัดงานมหกรรมวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2552 ภายใต้หัวข้อ “มหกรรมเยาวชนสร้างอาชีพและสิ่งประดิษฐ์ เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง” ระหว่างวันที่ 18 – 20 กันยายน 2552 ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ผู้ที่สนใจ ลองไปเที่ยวงานนี้กันดูนะคะ


วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

"รถไฟใต้ดิน" ปัจจัยที่ 5 ของชาวเกาหลีที่กรุงโซล

โดยรถไฟใต้ดินหรือ 지하철 (ชีฮาช่อล) ของกรุงโซลนั้น มีมาตั้งเกือบ 40 ปีแล้วนะคะ ! เริ่มต้นมีเพียง 9 สถานี แต่ปัจจุบันมีทั้งหมด 263 สถานี เรียกได้ว่ารถไฟใต้ดินนั้นครอบคลุมทั่วกรุงโซลเลย แถมยังยาวไปถึงต่างจังหวัดหรือเขตปริมณฑลด้วย เปิดให้บริการทุกวัน 06.00 - 24.00 น.

สาย 1 หรือ สายสีน้ำเงิน โดยต้นสายฝั่งหนึ่ง จะอยู่ที่อินชอน (เมืองที่เป็นที่ตั้งของสนามบิน นานาชาติ) ส่วนปลายสายของอีกฝั่งจะอยู่ที่ อึยจองบู หรือ เมืองที่เป็นที่ตั้งของสตูดิโอการ ถ่ายทำซีรีส์ชื่อดังเรื่องแดจังกึมค่ะ
สาย 2 หรือ สายสีเขียว เรียกได้ว่าเป็นสาย ธุรกิจของกรุงโซลเลย เพราะผ่านทั้งย่านซินชน ซึ่งเป็นย่านรวมวัยรุ่นและมหาวิทยาลัยต่างๆ รวม ไปถึงย่านคังนัม ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นย่านคนรวยของ เกาหลีใต้ ซึ่งสาย 2 นั้นได้ชื่อว่าเป็นสายที่มีผู้ใช้ บริการมากที่สุด เช่น ในปี 2007 มีผู้ใช้บริการ มากถึง 707,328,238 ครั้ง !!
สาย 3 หรือ สายสีส้ม ต้นสายฝั่งหนึ่งอยู่ที่เมืองอิลซาน (ร้านพิซซ่าของคุณพ่อเซียแห่งดงบังชินกิก็อยู่ที่เมืองนี้นะ ^^) จากนั้นจะวิ่งเข้ากรุงโซลผ่านสถานที่สำคัญ เช่น คยองบกกุง ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังคยองบกที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดของเกาหลี รวมถึง ย่านอับกุจง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท sm town นั่นเอง นอกจากนั้นยังมี Express Bus Terminal คล้ายๆ หมอชิตที่รวมรถบัสไปต่างจังหวัด
สาย 4 หรือ สายสีฟ้า สำหรับสายนี้ สถานที่ที่สำคัญที่สุดคงไม่พ้นมยองดง ย่านที่รวมวัยรุ่นไว้มากที่สุดของกรุงโซล หรือเรียกง่ายๆ ว่าสยามแสควร์ของเกาหลีนั่นเอง
สาย 5 หรือ สายสีม่วง ซึ่งเป็นสายที่วิ่งไปถึงสนามบินกิมโพซึ่งเป็นสนามบินภายในประเทศของเกาหลีใต้ รวมถึงยังวิ่งผ่านย่านเศรษฐกิจที่สำคัญอีกย่านของกรุงโซล คือ ย่านยออีโด ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาเกาหลีใต้ ตึก 63 หรือตึกที่สูงที่สุดของเกาหลีใต้ และ บริษัท KBS ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตซีรีส์และรายการต่างๆ มากมาย
สาย 6 หรือ สายสีน้ำตาลส้ม วิ่งผ่านสถานที่สำคัญ เช่น ย่านอีแทวอน ซึ่งเป็นย่านรวมชาวต่างชาติ รวมถึงมหาวิทยาลัยเกาหลี หรือ Korea University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศเกาหลี
สาย 7 หรือ สายสีเขียวแก่ ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ แล้ว อาจจะไม่ค่อยได้ใช้บริการรถไฟใต้ดินสายนี้มากเท่าไรนัก เพราะไม่ได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญมากเท่าใดนัก ยกเว้นสถานี Express Bus Terminal ซึ่งจะตัดผ่านกับสาย 3 ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นค่ะ
สาย 8 หรือ สายสีชมพู สายนี้ก็เช่นเดียวกันสาย 7 ค่ะคือไม่ได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญมากเท่าไร และยังเป็นสายที่สั้นที่สุดในบรรดารถไฟใต้ดินทั้ง 8 สาย

แน่นอนว่าในเมื่อมีเส้นทางเยอะขนาดนี้ จะต้องมีสถานีเชื่อมต่อหรือจุดเปลี่ยนสถานีกันเยอะมากๆ ซึ่งหากถึงสถานีที่สามารถเปลี่ยนสายรถได้แล้วนั้น ก็จะมีเสียงสัญญาณโดยจะคล้ายๆ เสียงนกร้องจิ๊บๆ ต้องตั้งใจฟังกันให้ดี ส่วนการเปลี่ยนสถานีนั้น ขอบอกว่าเดินไกลมากๆ ค่ะ เพราะสถานีรถไฟใต้ดินของกรุงโซลนั้นใหญ่และกว้างมาก เพราะฉะนั้นการเดินเปลี่ยนสถานีนั้นจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ก็ไม่ต้องกลัวจะเซ็งค่ะ เพราะระหว่างเดินเปลี่ยนสถานีนั้น ก็จะมีร้านค้าต่างๆ มากมายซึ่งตั้งอยู่ในสถานีให้พวกเราได้เดินดูกันอย่างเพลินตาเพลินใจ ไม่ว่าจะเป็นของขายแบกับดินหรือร้านแบรนด์เครื่องสำอางต่างๆ ก็ยังมีอีกแน่ะ นอกจากนี้ถ้าเป็นสถานีใหญ่ๆ ก็จะมีตู้เก็บสัมภาระอัตโนมัติไว้คอยบริการด้วย
และอีกอย่างก็คือ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นรถไฟใต้ดิน แต่ในบางสถานีที่แล่นผ่าน รถไฟใต้ดินนี้ก็จะขึ้นมาวิ่งบนดิน ให้เราได้ชมวิวทัศนียภาพของกรุงโซลได้ด้วยอีกนะคะ

เรื่องราคาค่าโดยสารนั้น จะเริ่มต้นที่ 900 วอน (ตอนนี้ประมาณ 25 บาท) สำหรับ 10 กิโลเมตรแรก และ 10-40 กิโลเมตรต่อ ไปคิดเพิ่ม 100 วอนต่อ 5 กิโลเมตร เรียกได้ว่าถูกมากๆ เลยค่ะ นั่งจนรากงอกจากต้นสายสุดปลายสายใช้เวลา 2 ชั่วโมง เสีย กันไม่เกิน 40 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งพี่เป้ขอแนะนำให้ใช้ T-Money ซึ่งเป็นบัตรเติมเงินสำหรับการใช้โดยสารรถไฟใต้ ดินหรือรถประจำทาง จะทำให้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
สำหรับสิ่งที่ต้องระวังในการใช้บริการรถไฟใต้ดินที่กรุงโซลนั้น พี่เป้คิดว่าน่าจะเป็นการงงหรือสับสนกับสถานีต่างๆ ค่ะ เพราะว่ามีตั้ง 8 สาย สายหนึ่งก็มีประมาณ 40 สถานี หากดูแผนที่แล้วรับรองต้องงงแน่ๆ เพราะมันตัดกันไปมาดูยุ่งเหยิงมาก อีกอย่างคือ ตามสถานีต่างๆ จะมีห้องน้ำไว้เผื่อยามข้าศึกมาประชิด ซึ่งบางสถานีก็ห้องน้ำสะอาด แต่บางสถานีก็ไม่ไหวเอาซะเลย กลิ่นลอยมาแต่ไกล เพราะฉะนั้นก่อนใช้บริการก็อย่าลืมทำธุระส่วนตัวออกจากที่พักให้เรียบร้อยด้วยนะคะ อ้อ ถ้ากำลังนั่งๆ อยู่ แล้วมีคนขึ้นมาขายของตะโกนโหวกเหวกก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ เป็นเรื่องธรรมดาของที่นั่นเค้าล่ะค่ะ ^^ เอาล่ะ ทำความรู้จักรถไฟใต้ดินของกรุงโซลกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว ใครมีโอกาสได้ใช้บริการก็อย่านั่งจนหลงทางล่ะ

เรื่องน่ารู้ของ...ไข่ไก่ใบกลม ๆ

ไก่กับไข่อะไรจะเกิดก่อนกัน...??????
ถามทีไรเป็นอันต้องทะเลาะกันทุกทีไปแต่ว่าลองมาดู 5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่กันดีกว่า
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว

2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน

3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้นเปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่าง ๆได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร

4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง

5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย

การใส่คอนแทคเลนส์ ทำให้การส่งผ่านออกซิเจนระหว่างอากาศกับกระจกตาดำลดลง (กระจกตาดำต้องการออกซิเจนจากหน้าสัมผัสกับอากาศภายนอกโดยการละลายของออกซิเจนในน้ำตาผ่านเข้าไป) ดังนั้น ผู้ใช้คอนแท็กเลนส์บางคนที่มีการสร้างน้ำตาบกพร่อง (ไม่ว่าจะเป็นในแง่ปริมาณ และ/หรือคุณภาพของน้ำตา) ทำให้การส่งผ่านออกซิเจน-น้ำตา-กระจกตาดำลดลง
เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย
ซึ่งผลก็คือ กระจกตาดำขาดอากาศหายใจ ทำให้เซลล์เยื่อบุผิวกระจกตาดำซึ่งมีบทบาทในการทำให้กระจกตาดำคงความใสอยู่ได้ตลอดเวลา ลดจำนวนลงไป ภูมิคุ้มกันของตา โดยเฉพาะ บริเวณกระจกตาดำลดลงไป เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
สำหรับอัตราของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ โดยดูแลอย่างถูกต้อง (ไม่ใส่ค้างคืน ไม่ขี้เกียจล้าง) อยู่ที่ ๑:๒๐๐:๑ ปี (ใน ๑ ปี คนใช้คอนแท็กเลนส์ อย่างถูกวิธี ๒๐๐ คน จะมี ๑ คน ที่เกิดการติดเชื้อทั้งที่รุนแรงและไม่รุนแรง)


การใส่คอนแทคเลนส์เมื่อมีการติดเชื้ออย่างอ่อนๆ อาจมีอาการเพียงการคัน ระคายเคือง หรือมีน้ำตาไหลเท่านั้น ทำให้ร่างกายพยายามเอาระบบภูมิคุ้มกันมายังกระจกตาดำ (ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงโดยสิ้นเชิง) มากขึ้น หลอดเลือดที่เยื่อบุตาขาวจะขยายตัว ในผู้ที่เกิดการระคายเคืองการแพ้สารที่อยู่ในน้ำยาสารพัดอย่าง มีการขยายตัวของหลอดเลือดนี้ได้บ้างเหมือนกัน บางรายหลอดเลือดถึงกับงอกไปบนกระจกตาดำเลยทีเดียว

ในบางประเทศ ทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ต้องได้รับการตรวจพื้นฐาน ได้แก่ ความโค้งของกระจกตา (คอนแท็กเลนส์มีหลายความโค้ง การเลือกความโค้งให้เหมาะกับตาแต่ละคนก็เป็นเรื่องสำคัญ) ตรวจคุณภาพน้ำตา และโรคตาที่อาจยังไม่แสดงอาการก่อนที่จะเริ่มใส่คอนแทคเลนส์ และในบางคนอาจได้รับคำแนะนำให้เลือกใช้วิธีแก้ไขสายตาอย่างอื่นแทน ทั้งที่ดูๆ เขาก็เป็นคนปกติ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องตามาก่อน


เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย
แต่พอหันกลับมาดูที่ประเทศไทย คอนแทคเลนส์นั้นหาซื้อได้ง่ายถึงขั้นที่ว่าขายกันอยู่ตีนบันไดทางขึ้น – ลง รถไฟฟ้า วัยรุ่นก็ให้ความนิยมหาซื้อกันมาใส่ ถูกผิดก็ลองๆ กันไป...มีปัญหาค่อยหาหมออีกทีแบบพี่เหมี่ยวว่าไม่คุ้มเลยนะคะ เสียเงินได้ของไม่มีคุณภาพมาใช้แล้วยังต้องเสี่ยงอันตรายอีก

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

เทรนด์ใหม่ "ปั่นจักรยาน" ไปเรียน..

สวัสดีค่ะวันนี้พี่ขอปั่นจักรยานมาทักทายนะคะ อยากช่วยลดโลกร้อนบ้างค่ะ เพราะขนาดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ยังรณรงค์ให้นิสิตในมหาวิทยาลัยกลับมาใช้จักรยานแทนขับรถเก๋ง ใน "โครงการKU Bike" ให้เข้ากับยุคสมัยอนุรักษ์การใช้พลังงาน และลดโลกร้อนในคราวเดียวกัน


ซึ่ง "โครงการ KU Bike" เป็นโครงการที่ทางองค์การบริหารองค์การนิสิต มก.รณรงค์ให้เพื่อนนิสิตกลับมาใช้จักรยานกันอีกครั้ง เพื่ออนุรักษ์พลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจรในมหาวิทยาลัยติดขัด เนื่องจากการใช้รถยนต์จำนวนมาก


ทาง รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดี กล่าวว่า โครงการ KU Bike จะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กันยายน ซึ่งเป็นวัน "สืบ นาคะเสถียร" เพื่ออนุรักษ์สภาพแวดล้อม ทำให้อากาศภายในวิทยาเขตบางเขนบริสุทธิ์ขึ้น และขณะนี้ถนนในวิทยาเขตบางเขนได้มีการปรับเป็นช่องทางจักรยานแล้ว ซึ่งต่อไปจะไม่ให้รถยนต์เข้าพื้นที่การเรียนการสอน แต่จะสร้างอาคารที่จอดรถรอบๆ แล้วจะมีรถบริการรับ-ส่งภายในให้


อีกทั้งยังจัดงบประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี เพื่อซื้อจักรยานให้นิสิตยืมใช้ ทั้งคนที่อยู่หอพัก และอยู่บ้าน โดยต่อไปจะไม่จำกัดเฉพาะนิสิต แต่ครูอาจารย์ บุคลากรมหาวิทยาลัยยืมใช้ได้ด้วย


พจนา บุญชัยยะ นายกองค์การบริหารองค์การนิสิต มก. บอกว่า ตอนแรกนิสิตมีคำถามว่ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงการจราจรทำไม หลังอธิบายให้ฟังว่าจะมีการรณรงค์ใช้จักรยาน เพื่ออนุรักษ์พลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม นิสิตต่างตระหนัก และเห็นถึงความสำคัญ ตอนนี้นิสิตถามกันตลอดว่าโครงการยืมจักรยานใช้เริ่มได้หรือยัง

พี่ขอยืมด้วยได้ไหมคะ ? (ฮ่าๆ) ฟังแล้วอยากเห็นบรรยากาศนิสิตปั่นจักรยานไปเรียนจังเลยค่ะ คงเป็นภาพที่น่ารักทีเดียว แถมยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันรถได้ด้วยนะคะ อากาศก็ไม่มีมลพิษ ไม่มีเสียงดังรบกวน และปั่นจักรยานบ่อยๆยังเป็นการออกกำลังกายได้อีกทางหนึ่งด้วย มีแต่ได้กับได้อย่างนี้ น้องๆคนไหนอยากนำไปใช้บ้าง พี่สนับสนุนเต็มที่คะ

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

ระวังเครื่องสำอางปลอม


สำหรับการตรวจพบในครั้งนี้ อย.ได้ออกเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางตามแหล่งจำหน่ายจำนวน 2 แห่ง เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์หาสารห้ามใช้ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เตือนภัย : ระวังเครื่องสำอางปลอม
เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซ์แอนด์ฮายอินเตอร์ เทรดดิ้ง เขตสวนหลวง ได้แก่
1. WEIJIAO Fade - Out Day Cream (15 g) เลขที่ผลิต P-004 วันที่ผลิต 2008/04/15 ผลิตโดยบริษัท คัลเลอร์เคมีคอลอินดัสเตรียล(ฮ่องกง) จำหน่ายโดย หจก. ไอซ์แอนด์ฮาย อินเตอร์ เทรดดิ้ง 340 อ่อนนุช 17 แยก16ถ.อ่อนนุช เขตสวนหลวง กทม. 10250 ตรวจพบสารประกอบของปรอท

เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากร้านแทนบิวตี้ในห้างซีคอนสแควร์ถนน ศรีนครินทร์ ได้แก่
2. YANKO Day Cream Fade-Out Cream เลขที่ผลิต P-001วันที่ผลิต 2008/02/29 ตรวจพบสารประกอบของปรอท
3. YANKO Night Cream เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2008/08/26 ตรวจพบกรดเรทิโนอิก ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้ผลิตโดย บริษัท คัลเลอร์เคมีคอล อินดัสเตรียล (ฮ่องกง) จำหน่ายโดย บริษัท ชาลีน่า จำกัดเลขที่ 20/24 การเคหะ 20 คลองจั่น บางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
4. FAYLASISWHITENING CREAM (NIGHT CREAM) เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2007/11/07ผลิตโดย บริษัท ห้วยโจเขื่อนเอินคอสเมทิค จำกัด ประเทศจีน จำหน่ายโดยบริษัท ไจโอนูโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด ตรวจพบสารประกอบของปรอท
5. Gold NaryWhitening Cream Night Cream เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2008/11/04 ตรวจพบกรดเรทิโนอิก
6. Gold Nary Face out Cream Day Cream เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2008/04/25 ตรวจพบสารประกอบของปรอท ผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 5และ 6 ผลิตโดย บริษัทเจียวโจจิน คอสเมติค จำกัด ประเทศจีน จำหน่ายโดย เมอด้า มาร์เก็ตติ้งซอย 13 ถ.สามัคคี อ.เมือง จ. นนทบุรี 11000
7. YONAE Whitening Essence &Double Efficacy (ฝาสีเงิน) เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2006/11/27 ไม่ระบุผู้ผลิตและผู้จำหน่าย ตรวจพบสารประกอบของปรอท
8. YONAE Whitening Essence&DoubleEfficacy (ฝาสีทอง) เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2006/11/27 ไม่ระบุผู้ผลิตและผู้จำหน่ายตรวจพบกรดเรทิโนอิก

สำหรับอันตรายของสารห้ามใช้ดังกล่าวนั้น สารประกอบของปรอทหรือปรอท แอมโมเนีย เมื่อเริ่มใช้จะทำให้แลดูดีขึ้นขาวขึ้น แต่เมื่อใช้ ไปในระยะหนึ่ง อันตรายจะตามมาโดยทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะและไตอักเสบ และกรดเรทิโนอิกหรือกรดวิตามินเอ เมื่อเริ่มใช้จะทำให้แลดูผ่องใสขึ้น แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง จะทำให้หน้าแดง แสบร้อนรุนแรงเกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้เครื่องสำอางดังกล่าวจึงจัดเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษสำหรับผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้นำเข้า เพื่อขาย และผู้ขายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยจะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

อาหารไทย 4 ภาค Thailand Food 4 Region


Thailand is one famous country in Southeast Asia. Also condition to geographical feature of Country have filled with beautiful place both it’s born to be by natural and human made its. Include an old civilization had been long time ago and easy lifestyle of Thai peoples. And it’s more charm enough to attract tourist’s foreigner. So I don’t be surprise, If someone tell me that tourists foreigner more 10 million to visit in Thailand per year. Because we have yet a great number of anything else can create impression always for visitor such as service also smile with friendship and one thing to famous as well as tourists place is “Eating Culture” of each regions.Do you know that? Why I call “Eating Culture”, because they have different livelihood, social, weather and lifestyle of each region. So something what they think, what they do? May not to be same and as each region. And each region has still kept good culture and tradition on. Especially foods are separated 4 identities – Northern region, Southern region, Northeastern region and the last one is Central region. Now I’ll start talk to you about excellent foods of each region.
Northern region: This region is up pest of country. Almost areas are around with mountains, good weather, clam and easy lifestyle of local peoples are particularly in reference to culture and architecture of Lanna. Often we had ever seen serving with “Khan Tok” among environment open – air in the forests hillsWith in “Khan Tok” – foods are also put on the north’s best – known such as “Kao Soy Kai” for this menu you can get 2 types noodle, one deep fried crispy, another one, it’s soft serve with curry and condiment. And another special menu to I‘ll recommended “Nam Phrik Num” – a sauce for raw and to pound with peppercorn, serve with “Krab Moo” – crispy pork rind, a northern specialty also used as a drinking snack.Most of northern foods, they use peppercorn and long peppercorn, which is spicy, but also has an herby, sweetish flavour. It’s very aromatic, and spiciness. I’ll rather sure, If someone had ever been tried, they have to like it same with me.
Southern region: They have to strongly hot chilli more than other region. Also they had got influence from Indonesian and Malay; they always use spices such as turmeric or “Kha min” so southern foods always has yellow fish curry, soups and grilled fish because there are coconuts on land and fish in the sea. Therefore, I’ll choose recommend special menu of Southern are “Gaeng Tai Pla” made with fish stomach and serve as “Naam Phrik” – a bowl of dipping sauce for raw and boiled vegetables. It’s tastes good; also strong spices, salty and little sweet. The smell of spices had a taste so powerful strong. They are wonderful menu; I think you absolutely cannot miss when you visited in southern of Thailand. And then another region:
Northeastern region: This region poorest of Thailand But If I talk you that “Isaan Foods” hardly no one never had known, The most famous Isaan dish is “Som Tam” or “Papaya Salad” with “Nam Pla raa”(fermented fish sauce), very strong taste and smell typical Isaan. This category included a variety of spicy and tangy dishes with vegetables, fruit or fish mixed together with lime, sugar, chillies, which dipper depend on the dish and serve with “Lrab”, “Yam” – It’s perfect balance of the four essential flavours(sweet, sour, hot and salty).In Isaan people eat with their hands using “Sticky Rice”.Not only Isaan foods is popular in local but also many woman in town like to eat its because the food is mainly stream or grilled – not much flying – which means it’s not fat.Central region: These foods of region had good known both tourists foreigner and people who live in Bangkok. Because If I talk with you about “Tom Yam Kung” and“Phad Thai Kung Sot” Those menus are not interested in those ways because it’s found and had famous as well as Thailand. So I’ll recommend a new special menu

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

4 เหตุผลที่ต้องสอบรับตรง มศว

การสอบรับตรงของ มศว ปีนี้สนามสอบจะกระจายไปตามโรงเรียนต่างๆ ดังนั้น ก่อนถึงวันสอบจริงน้องๆ ลองสำรวจเส้นทางไว้ก่อนก็จะช่วยให้มั่นใจขึ้นครับ.. ส่วนใครที่งอแง และจิตตกจากการเรียนจนมีความคิดว่า จะขอไม่ไปสอบรับตรง มศว ในครั้งนี้ ให้อ่าน 4 เหตุผลสำคัญต่อไปนี้เลยครับ

>>> รับตรง มศว ไม่เน้นการสอบอย่างเดียว
คงเป็นมหาวิทยาลัยเดียวในตอนนี้ที่มีแนวคิดในการรับนิสิตที่ชัดเจนมากๆ เพราะการรับตรงของ มศว ปีนี้หากพิจารณาเกณฑ์ดีๆ แล้วจะเห็นว่า ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การสอบอย่างเดียว แต่ยังวัดกันที่แฟ้มผลงาน และทักษะความสามารถอีกด้วย

ซึ่งวิธีนี้ขอบอกว่าเหมาะมากๆ สำหรับเด็กกิจกรรม หรือเด็กที่เรียนพอได้ แต่ไม่เก่งมาก ดังนั้นน้องๆ ที่มีต้นทุนด้วยความตั้งใจสูง แต่ต้นทุนด้านคะแนนสอบต่ำ ต้องไม่พลาดที่จะสอบรับตรงครั้งนี้ครับ


>>> รับตรง มศว ไม่ใช่คะแนน GAT PAT
หาในโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว สำหรับการสอบรับตรงที่ไม่ใช่ GAT PAT เพราะไล่มาตั้งแต่ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ยัน ม.เกษตรฯ ต่างขึ้นระเบียบการชัดเจนว่า หากจะสอบรับตรงสถาบันเหล่านี้ ต้องมี คะแนน GAT PAT นะจ๊ะ สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้คนที่คะแนนน้อยสุดๆ
ดังนั้น ใครที่คะแนน GAT PAT น้อยติดธรณีสงฆ์ และไม่อยากให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้มาทำลายความฝันในการแอดมิชชั่น ก็ลุยสอบรับตรงครั้งนี้ไปเลยครับ.. ทุกอย่างเริ่มใหม่ เท่าเทียมกันทุกคนครับ..


>>> ไปลองสนาม นับจำนวนคู่แข่ง
ในการสอบแอดมิชชั่นยิ่งสอบมาก ยิ่งได้เปรียบมาก ได้เปรียบตรงที่รู้แนวข้อสอบที่หลากหลาย และคุ้นเคยกับสนามสอบมากขึ้น ดังนั้น การไปสอบในครั้งนี้จงคิดไว้เสมอว่า “เราไม่ได้ไปแข่งกับใคร แต่เราไปแข่งกับความกดดันของตัวเอง”

นอกจากไปเพื่อลองสนามสอบ ยังได้ไปพบกับคู่แข่งที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับเรา ลองนับดูซิว่ามากน้อยแค่ไหนที่เราต้องฮึดสู้ และสุดท้ายหากใครผ่านการสอบครั้งนี้ โดยเอาชนะความกดดันมาได้ สนามแอดมิชชั่นสนามใหญ่ก็เตรียมเฮไว้ได้เลย..


>>> ใช้สิทธิ์ความฝันของตัวเอง
มศว เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเมื่อแอดมิชชั่นปี 2552 มีนักเรียนอยากยื่นคะแนนสมัครเข้าเรียนมากที่สุด โดยเฉพาะคณะมนุษยศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ และวิชาเอกประวัติศาสตร์ ที่ยอดนิยมจนติดอันดับคณะที่คนเข้ามากที่สุด 2 อันดับแรกของประเทศ

หลายคนได้ยิน ได้ฟังคงจิตตก โดยเฉพาะน้องๆ ที่อยากเข้า มศว แต่ พี่ลาเต้ อยากจะบอกว่าเมื่อเรามีสิทธิ์ เราก็ต้องใช้สิทธิ์ อย่าไปแคร์สื่อว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอแค่วันนี้เราทำตามฝันให้ใกล้ และเต็มที่ที่สุด อย่างน้อยวันข้างหน้าจะได้ไม่เสียดาย


เอาล่ะครับ.. อีกไม่นานน้องๆ ที่สมัครสอบรับตรง มศว ไว้ก็คงจะต้องลงสนามกันแล้ว แฟ้มสะสมผลงาน บัตรประจำตัวสอบ และผังสนามสอบ ตรวจสอบให้เรียบร้อยนะครับ.. เรื่องแนวข้อสอบไม่ต้องคิดมาก ตามที่เราเรียนมาล้วนๆ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ไวรัสคอมพิวเตอร์

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อก่อกวนทำลายระบบคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลชุดคำสั่ง หรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น แผ่นดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจำคอมพิวเตอร์ และเป็นโปรแกรมที่สามารถกระจายจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง ไปยังคอมพิวเตอร์อีกตัวหนึ่งได้โดยผ่านระบบสื่อสารคอมพิวเตอร์ เช่น โดยผ่านทาง แผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) หรือระบบเครือข่ายข้อมูล
อาการของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พอจะคาดคะเนได้ว่าติดไวรัส

- การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้ากว่าปกติ
- คอมพิวเตอร์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ข้อมูลหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ส่งเสียง หรือข่าวสารแปลกออกมา
- ไดร์ฟ หรือฮาร์ดดิสก์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ไฟล์ในแผ่นดิสก์ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกเปลี่ยนเป็นขยะ

ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบ่งตามวิธีการติดต่อ
- ม้าโทรจัน ม้าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมา ให้ทำตัวเหมือนว่าเป็น โปรแกรมธรรมดาทั่วๆ ไป เพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้ทำการเรียกขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อถูกเรียกขึ้นมาแล้ว ก็จะเริ่มทำลายตามที่โปรแกรมมาทันที ม้าโทรจันบางตัวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งชุด โดยคนเขียนจะทำการตั้งชื่อโปรแกรม พร้อมชื่อรุ่นและคำอธิบาย การใช้งานที่ดูสมจริง เพื่อหลอกให้คนที่จะเรียกใช้ตายใจ จุดประสงค์ของคนเขียนม้าโทรจัน อาจจะเช่นเดียวกับคนเขียนไวรัส คือ เข้าไปทำอันตรายต่อข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง หรืออาจมีจุดประสงค์ เพื่อที่จะล้วงเอาความลับ ของระบบคอมพิวเตอร์ ม้าโทรจันนี้อาจจะถือว่า ไม่ใช่ไวรัส เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดดๆ และจะไม่มีการเข้าไปติดในโปรแกรมอื่น เพื่อสำเนาตัวเอง แต่จะใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของ ผู้ใช้ เป็นตัวแพร่ระบาดซอฟต์แวร์ ที่มีม้าโทรจันอยู่ในนั้น และนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทของโปรแกรม ที่มีความอันตรายสูง เพราะยากที่จะตรวจสอบและสร้างขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งอาจใช้แค่แบตซ์ไฟล์ก็สามารถโปรแกรมประเภทม้าโทรจันได้

- โพลีมอร์ฟิกไวรัส Polymorphic Viruses เป็นชื่อที่ใช้ในการเรียกไวรัส ที่มีความสามารถในการแปรเปลี่ยนตัวเอง ได้ เมื่อมีสร้างสำเนาตัวเองเกิดขึ้น ซึ่งอาจได้ถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือ ทำให้ไวรัสเหล่านี้ ยากต่อการถูกตรวจจับ โดยโปรแกรมตรวจหาไวรัส ที่ใช้วิธีการสแกนอย่างเดียว ไวรัสใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่มีความสามารถนี้ เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
- สทีลต์ไวรัส Stealth Viruses เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถ ในการพรางตัวต่อการตรวจจับได้ เช่น ไฟล์อินเฟกเตอร์ ไวรัสประเภทที่ไปติดโปรแกรมใด แล้วจะทำให้ขนาดของโปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น ถ้าโปรแกรมไวรัสนั้นเป็นแบบสทีลต์ไวรัส จะไม่สามารถตรวจดูขนาดที่แท้จริง ของโปรแกรมที่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากตัว ไวรัสจะเข้าไปควบคุมดอส เมื่อมีการใช้คำสั่ง DIR หรือโปรแกรมใดก็ตาม เพื่อตรวจดูขนาดของโปรแกรม ดอสก็จะแสดงขนาดเหมือนเดิม ทุกอย่างราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบ่งตามลักษณะการทำงาน

- ไฟล์ไวรัส File Viruses คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในแฟ้มข้อมูล ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแฟ้มข้อมูลแบบ Executite ได้แก่ไฟล์ประเภท .EXE .COM .DLL เป็นต้น การทำงานของไวรัสคือจะไปติดบริเวณ ท้ายแฟ้มข้อมูล แต่จะมีการเขียนคำสั่งให้ไปทำงานที่ตัวไวรัสก่อน เสมอ เมื่อมีการ เปิดใช้แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัส คอมพิวเตอร์ก็จะถูกสั่งให้ไปทำงานบริเวณ ส่วนที่เป็นไวรัสก่อน แล้วไวรัสก็จะฝังตัวเองอยู่ในหน่วยความจำเพื่อ ติดไปยังแฟ้มอื่นๆ ต่อไป
- บูตเซกเตอร์ไวรัส Boot Sector Viruses หรือ Boot Infector Viruses คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ ของดิสก์ การทำงานก็คือ เมื่อเราเปิดเครื่อง เครื่อง จะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์ โดยในบูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็ก ๆ ไว้ใช้ในการเรียกระบบ ปฎิบัติการขึ้นมาทำงานอีกทีหนึ่ง ถ้าหากว่าบูตเซกเตอร์ ได้ติดไวรัส โปรแกรมที่เป็นไวรัสจะเข้าไปแทนที่โปรแกรมดังกล่าว ทุก ๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมาโดย โปรแกรมไวรัสก็จะโหลดเข้าไปในเครื่อง และจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใน หน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่ จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรมมา แล้วตัวไวรัสจึงค่อยไป เรียกดอสให้ขึ้นมาทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไวรัสประเภทนี้ มักจะติดกับแฟ้มข้อมูลด้วยเสมอ

ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบ่งตามลักษณะแฟ้มที่ติดไวรัส

- มาโครไวรัส Macro Viruses เป็นไวรัสรูปแบบหนึ่งที่ พบเห็นได้มากที่สุด และระบาดมาที่สุดในปัจจุบัน (เมษายน 2545) ซึ่งการทำงานจะอาศัยความสามารถ ในการใช้งานของ ภาษาวิชวลเบสิก ที่มีใน Microsoft Word ไวรัสชนิดนี้จะติดเฉพาะไฟล์เอกสารของ Word ซึ่งจะฝังตัวในแฟ้ม นามสกุล .doc .dot การทำงานของไวรัส จะทำการคัดลอกตัวเองไปยังไฟล์อื่นๆ ก่อให้เกิดความรำคาญในการทำงาน เช่นอาจจะทำให้เครื่องช้าลง ทำให้พิมพ์ของทางเครื่องพิมพ์ไม่ได้ หรือทำให้เครื่องหยุดการทำงานโดยไม่มีสาเหตุ
- โปรแกรมไวรัส Program Viruses หรือ File Intector Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่ง ที่จะติดกับไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้าไปติดอยู่ใน โปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น sys และโปรแกรมประเภท Overlay Programsได้ด้วย โปรแกรมโอเวอร์เลย์ ปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วย OV วิธีการที่ไวรัสใช้ เพื่อที่จะเข้าไปติดโปรแกรมมีอยู่สองวิธี คือ การแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในโปรแกรม ผลก็คือ หลังจากที่โปรแกรมนั้นติดไวรัสไปแล้ว ขนาดของโปรแกรมจะใหญ่ขึ้น หรืออาจมีการสำเนาตัวเอง เข้าไปทับส่วนของโปรแกรมที่มีอยู่เดิม ดังนั้นขนาดของโปรแกรมจะไม่เปลี่ยน และยากที่จะซ่อมให้กลับเป็นดังเดิม

การทำงานของไวรัส โดยทั่วไป คือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่ติดไวรัส ส่วนของไวรัสจะทำงานก่อน และจะถือโอกาสนี้ฝังตัวเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำทันที แล้วจึงค่อยให้โปรแกรมนั้นทำงานตามปกติต่อไป เมื่อไวรัสเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำแล้ว หลัง จากนี้ไปถ้ามีการเรียกโปรแกรมอื่น ๆ ขึ้นมาทำงานต่อ ตัวไวรัสก็จะสำเนาตัวเองเข้าไป ในโปรแกรมเหล่านี้ทันที เป็นการแพร่

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

การแปรงฟันให้ถูกวิธี



มีหลายคนที่มักจะละเลยการแปรงฟัน โดยหารู้ไม่ว่าความสะอาดในช่องปากนั้นก็มีส่วนสำคัญ เพราะมันอาจส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่นได้ เราจึงมีวิธีแปรงฟันที่ถูกต้องมาฝากกัน

โดยควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ให้ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนิ่ม ไม่ใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็งมาก เพราะจะทำให้ฟันสึกเร็ว ขนาดของหัวแปรงควรมีขนาดที่พอดีที่จะเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของฟันได้ง่ายๆ และต้องให้ความสำคัญของการแปรงที่ถูกวิธีและทุกๆ ตำแหน่งของซี่ฟัน

วิธีแปรงฟัน

วางแปรงเอียง 45 องศา กับเหงือก

ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน

แปรงให้ครบทุกด้านของฟัน ด้านหน้า ด้านใน และด้านบดเคี้ยว

ด้านในของฟันหน้าใช้วิธี ลากแปรงผ่านผิวของฟัน

อย่าลืมแปรงลิ้น ช่วยลดการสะสมของ Bacteria ที่ลิ้น ลดกลิ่นปากได้อย่างดี


การดูแลแปรงสีฟัน

คุณทราบบ้างไหมว่า Bacteria สะสมและเจริญเติบโตที่บริเวณแปรงสีฟันหลังจากเราใช้มัน ดังนั้นควรมีแปรงสีฟันของตนเองไม่ควรใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะมีการกระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งได้ เมื่อแปรงฟันเสร็จ ให้ล้างขนแปรงด้วยน้ำเพื่อล้างยาสีฟัน และเศษอาหารที่ค้างอยู่ หลังจากล้างต้องวางแปรงให้ขนแปรงตั้งขึ้นให้แห้งโดยลม และควรเปลี่ยนแปรงทุก 3-4 เดือน


สิ่งที่ไม่ควรทำ

เรามักชินกับวิธีการแปรงฟันสีเข้าสีออกลักษณะเหมือนเลื่อยไม้ หรือจะชินกับการแปรงฟันถูขึ้นลงไปโดยเฉพาะบริเวณฟันหน้า

ไม่แปรงแบบเลื่อยฟัน จะทำให้คอฟันสึก

ไม่แปรงสวนทางกับเหงือก เพราะทำให้เหงือกร่น

ไม่ใช้แปรงสีฟันจนขนแปรงบานออก

ไม่ควรเก็บแปรงในภาชนะปิด เพราะความชื้นทำให้แบคทีเรียที่ขนแปรงเจริญได้ดีกว่า เก็บแปรงในที่ภาชนะเปิดถูกอากาศ

การแปรงฟันอยากคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันกันมากกว่าครับ หากแปรงถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอเชื่อแน่ว่าคุณจะมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง และยิ้มอย่างมีความสุขแน่นอน

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ฟังให้ดี ได้เกรด 4 ไปกว่าครึ่ง !

วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับการ "ฟัง"มาบอกกันค่ะ โดยเฉพาะคนที่รู้สึกว่า เวลาอาจารย์พูดทำไมฟังแล้วไม่เข้าหัวเลย หรือไม่เข้าใจเรื่องที่อาจารย์พูดอยู่เลย มาดูกันดีกว่าค่ะว่า เราควรจะฟังอย่างไร มันถึงจะเวิร์ค!!!!!

1.ให้ความสนใจกับเรื่องที่ฟัง

เราต้องสร้างความสนใจในเรื่องที่จะฟัง(ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นมันจะไม่น่าสนใจ หรือน่าง่วงนอน) เพราะบางครั้งเรื่องที่อาจารย์พูด อาจเป็นจุดสำคํญของเนื้อหา ที่อาจเอาไปออกเป็นข้อสอบเก็บคะแนน หรืออาจจะเอามาถามตอนเราเผลอๆก็ได้นะคะ

2.เมื่อฟัง ก็ต้องฟังอย่างตั้งใจ และมีสมาธิ
เวลาอาจารย์กำลังพูดหรือธิบายอะไร ก็ต้องมีสมาธิอยู่ตรงนั้นนะคะ อย่าวอกแวกหรือจิตหลุด เกิดอาจารย์บอกแนวข้อสอบขึ้นมาแล้วไม่ได้ฟังจะเสียดายแย่ ถ้ารู้ตัวว่าจิตหลุด ให้รีบลอยกลับเข้าร่างค่ะ

3.จับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง และคิดวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องราวที่ฟัง
ต้องจับใจความให้ได้ว่า เรื่องที่ฟังเป็นเรื่องอะไร เกิดที่ไหน เรื่องเป็นอย่างไร ฯลฯ ส่วนการวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องราวที่ฟัง คือ เรื่องมันเป็นอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ ผลเป็นอย่างไร เป็นต้น

วิธีง่ายๆที่นำมาบอกครั้งนี้ น่าจะช่วยให้ชาวเด็กดีเริ่มต้นการฟังได้อย่างถูกต้องนะคะ เพราะถ้าเราฟังได้อย่างถูกวิธีแล้ว ทีนี้ปัญหาเรื่องไม่เข้าหัว หรือลอยผ่านไป จำอะไรไม่ได้ ก็น่าจะลดลงนะคะ แล้วชาวเด็กดีมีวิธีการฟังอย่างไรที่ได้ผลและเวิร์คสุดๆ ลองมาบอกกันบ้างนะ


วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552


แม้ใครๆ จะพร่ำบอกว่า เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในความรู้สึกของหนุ่มกวาง หนุ่มน้อยวัยใสวัยมัธยมต้น การมีสิว...มันเหมือนปัญหาชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่กวางจำต้องแบกรับไว้บนหน้า จนแทบจะไม่อยากไปโรงเรียนกวดวิชากันเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วเรื่องสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติจริงๆ นั่นล่ะ เพราะถ้าหนุ่มสาววัยใสเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิว (ไปสักระยะ)

เพราะสิวเป็นสัญญาณของการแตกเนื้อหนุ่มสาว ซึ่งส่วนมากมักจะพบว่าหนุ่มน้อยสาวน้อยที่บ้านเราจะเริ่มมีสิวกันตั้งแต่อายุประมาณ 12-13 ปี และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจากสถิติทางการแพทย์พบว่าวัยรุ่นประมาณ 80% เคยเป็นสิวมาก่อน สาเหตุของสิวเนื่องจากเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ฮอร์โมนเพศในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศแอนโดรเจน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น

เมื่อรูขุมขนบริเวณใบหน้า บริเวณอก และแผ่นหลังอุดตัน ไขมันที่ถูกสร้างจากต่อมไขมันระบายออกไม่ทัน ก็จะกลายเป็นอาหารอย่างดีแก่เชื้อแบคทีเรียบนผิวหน้า และทำให้เกิดการอักเสบตามมา แต่ถ้าหนุ่มน้อยสาวน้อยต่างรู้จักการดูแลตัวเอง ก็อาจลดโอกาสการเกิดสิวได้เหมือนกัน แต่หากเป็นสิวไปแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไปนะคะ เพราะถ้าเราเกิดความกังวลเดินผ่านใครหรือใครเดินผ่านก็มักจะเอามือปกปิด หรือเผลอตัวไปสัมผัสบริเวณนั้นตลอดเวลา กลับยิ่งกระตุ้นให้สิวเกิดการอักเสบเป็นหนอง การดูแลจะยุ่งยากขึ้นกว่าเดิม วิธีง่ายๆ อยากจะแนะนำไว้ดังนี้

1.รักษาความสะอาดโดยล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ เนื่องจากสิวไม่ได้เกิดจากความสกปรกของฝุ่นผงในอากาศ เวลาล้างหน้าอย่าถูแรง พยายามหลีกเลี่ยงการใช้สครับล้างหน้าเพราะระคายผิว และหลีกเหลี่ยงการใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าทั่วไปที่มีฤทธิ์เป็นด่าง

2.หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของสารเคมี ที่อาจจะทำให้เกิดสิว

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ

4.อย่าบีบหรือแกะสิวเพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น ซึ่งรักษาให้หายได้ยากกว่าการรักษาสิว

5.อย่าปล่อยให้ผมยาวรุงรังปรกหน้า อย่าปล่อยให้ผมมัน และควรงดใช้น้ำมันใส่ผม เจล สเปรย์

6.พยายามอย่าให้เครียด อย่าให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดหรือกังวล และพยายามอย่านอนดึก

7.กรณีผิวหน้ามัน ควรซับมันออกจากผิวหน้าด้วยกระดาษซับความมันบนใบหน้า