วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

"วัฒนธรรมตะเกียบ"



ตะเกียบอนามัย ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว

วัฒนธรรมในการกินอาหาร ของแต่ละชนชาติ มีความแตกต่างกัน ชาวยุโรปและอเมริกัน ใช้มีด และช้อนในการกินอาหารแต่มีหลายชนชาติใน แอฟริกา อาหรับ และ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ รวมทั้งอินเดีย นิยมกินข้าวด้วยมือ ในขณะที่ชาติในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ใช้ตะเกียบในการกินอาหาร และคนในชาติทั้งสามกลุ่มนี้ ต่างก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมในการกินของตนไว้ได้เป็นอย่างดีจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

วัฒนธรรมการกินทั้งสามแบบนี้ การกินอาหารด้วยมือกลับถูกมองว่าไม่มีวัฒนธรรม และอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็เป็นไปได้ ที่คนไทยยอมรับเอาวิธีการกินของชาวยุโรปมาใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่รับมาเพียงแค่ช้อน-ส้อมเท่านั้น ไม่รวมถึงการใช้มีดเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย และนับตั้งแต่นั้นมา ช้อน-ส้อม ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ ในวัฒนธรรมการกินของคนไทย

ตะเกียบนั้น เข้ามาในเมืองไทยเป็นระยะเวลานานกว่าช้อน-ส้อม แต่ไม่สามารถเข้าถึงในครัวของไทยได้ ช้อน-ส้อมซึ่งเป็น วัฒนธรรมการกินของชาวยุโรป กลับได้รับความนิยมมากกว่า และยิ่งในชนบทด้วยแล้ว ชาวบ้านไม่นิยมใช้ตะเกียบในการกินอาหาร ส่วนประเทศลาวซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับจีน ก็ไม่ได้รับเอาวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบของจีนมาใช้ แต่กลับนิยมใช้มือและช้อนในการกินมากกว่า

จากหลักฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ตะเกียบไม่ใช่เครื่องใช้ประกอบในการกินอาหารของชาวไทย และลาว เนื่องจากว่า ไทยไม่ได้รับเอาตะเกียบเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมการกินเหมือนกับช้อนและส้อม แต่ตะเกียบนั้นใช่ว่าจะไม่มีความสำคัญเสียเลยก็ไม่ได้ เนื่องจากว่าอาหารจีนได้เข้ามาแทรกอยู่ในวิถีชีวิตของไทยเราด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ตะเกียบเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๋วยเตี๋ยวและบะหมี่ จนดูเหมือนกับว่า จะใช้ตะเกียบเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวและบะหมี่เท่านั้น ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า ตะเกียบเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบ ในวัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทย ก็คงจะไม่ผิดจากความเป็นจริงมากนัก

ตะเกียบมีบทบาทสำคัญ ในวัฒนธรรมการกินของชาวจีน นอกจากนี้ เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม ต่างก็มีวัฒนธรรมการกินด้วยตะเกียบเช่นเดียวกัน ทั้งสามชาตินี้ต่างรับเอาวัฒนธรรมตะเกียบของจีนไปใช้ ด้วยการดัดแปลงและพัฒนา จนกระทั่งตะเกียบกลายเป็นวัฒนธรรมการกินประจำชาติของตนเอง ที่มีความผิดแผกและแตกต่างไปจากจีนซึ่งเป็นชนชาติผู้ให้กำเนิดตะเกียบ


ตะเกียบมาจากประเทศจีน


ตะเกียบ พร้อมหมอนรอง หนี่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล


ตะเกียบทำด้วย โลหะ จากประเทศเกาหลี


ตะเกียบจากประเทศเดนมาร์ก


ตะเกียบ ทำจาก กระดูกตัวจามรี จากประเทศทิเบต

ประวัติศาสตร์ของตะเกียบ
ในสมัยราชวงศ์ถัง นักการศึกษาชื่อ ขงอิ่งต๋า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตำราคัมภีร์ขงจื๊อ มีชีวิตอยู่เมื่อปี ค.ศ. 574 - 648 ได้สนองรับคำสั่งของพระเจ้าถังไท้จง เรียบเรียง “ อู่จิงเจิ้งอี้ ” ( Wujing Zhengyi ) หรือ “ An Exact Implication of the Five Classics ” สำหรับใช้เป็นบรรทัดฐานในการสอบคัดเลือกคนเข้ารับราชการ เขาได้พูดถึงธรรมเนียมและมารยาทในการกินข้าวของคนจีนในสมัยนั้นว่า
“ มารยาทการกินข้าวของคนโบราณจะไม่ใช้ตะเกียบ แต่ใช้มือ เมื่อกินข้าวร่วมกับคนอื่น ควรชำระมือให้สะอาดหมดจด อย่าให้ถึงเวลากินข้าวแล้วเอามือถูใบสน หยิบข้าวกิน เกรงจะเป็นที่ติฉินของคนอื่นว่าสกปรก ”


คนโบราณที่ ขงอิ่งต๋า กล่าวถีงคือคนในยุคขงจื๊อ จึงมีความเชื่อกันว่า คนจีนน่าจะรู้จักใช้ตะเกียบกันมา เป็นเวลานานมากกว่า 2,000 ปี ตะเกียบใช้สำหรับคีบผักต้มจากหม้อน้ำแกงมาไว้ในชามข้าว จากนั้นจึงเอามือหยิบข้าวกิน ถ้ามีใครใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปาก จะถือว่าเป็นการเสียมารยาทมาก สิ่งใดที่บรรพบุรุษสร้างไว้หรือกำหนดไว้ จะไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน คนจีนจึงรักษาธรรมเนียมการกินด้วยมือ อยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปี

จีนเริ่มใช้ตะเกียบตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า คนจีนใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายหลังยุคราชวงศ์ฮั่น ประมาณในคริสต์ศตวรรษที่ 3 คนในสมัยนั้นเรียกตะเกียบว่า “ จู้ ” ( Zhu ) ต่อมาเปลี่ยนเป็น“ ไขว้จื่อ ” ( Kuaizi ) เหตุผลก็เป็นเพราะว่าชาวเรือ ถือคำว่า “ จู้ ” ที่ไปพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า “ หยุด ” ซึ่งไม่เป็นมงคลต่อการเดินเรือ จึงเปลี่ยนไปใช้ “ ไขว้จื่อ ” แทน “ จู้ ” คนแต้จิ๋วออกเสียง “ จู้ ” ว่า “ ตื่อ ” ( Del ) และในปัจจุบันก็ยังคงใช้กันอยู่ การที่คนจีนใช้ตะเกียบในการกินอาหารมาเป็นเวลานานนับพันปี จึงมีความรู้คำสอนไว้มากมายจนกระทั่งกลายมาเป็น วัฒนธรรมตะเกียบ ซึ่งมีตั้งแต่การจับตะเกียบที่ต้องพิถีพิถันกันมาก จนกระทั่งถึงข้อห้ามต่างๆ อาทิ เช่น



-ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกันทั้งคู่ การวางตะเกียบไม่เสมอกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง คนจีนถือคำว่า “ชางฉางเหลียงต่วน ” ความหมายตามตัวอักษรนั้น หมายถึง สามยาวสองสั้น คำนี้ คนจีนมักหมายถึง ความตาย หรือความวิบัติฉิบหาย ดังนั้นการวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้นๆยาวๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด

-ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น หรือถือไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้ ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ แต่การใช้นิ้วชี้ผู้อื่นคนไทยก็ถือว่า ไม่สุภาพเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะแต่คนจีนเท่านั้น

-ห้าม อม ดูด หรือ เลียตะเกียบ กิริยานี้เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง ถ้ายิ่งดูดจนเกิดเสียงดังด้วยแล้ว ถือเป็นกิริยาที่ขาดการอบรมที่ดี

-ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม เพราะมีแต่ขอทานเท่านั้นที่จะเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตา เพื่อชวนให้เวทนาสงสาร เรียกร้องความสนใจให้บริจาคทาน

-ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร โดยไม่รู้ว่าจะคีบอาหารชนิดใด ถือว่าเป็นกิริยาที่ควรหลีกเลี่ยง ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที

-ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือน พวกโจรสลัดขุดสุสาน เพื่อหาสมบัติที่ต้องการ ถือเป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ

-ห้ามคีบอาหารให้น้ำหยดใส่อาหารจานอื่น เมื่อคีบอาหารได้แล้วจะต้องให้สะเด็ดน้ำสักนิด เพื่อไม่ให้น้ำหยดและอย่าทำอาหารที่คีบอยู่หล่นใส่โต๊ะ หรืออาหารจานอื่น การทำเช่นนี้ถือเป็นกิริยาที่เสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง


-ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง คือถือปลายตะเกียบขึ้น ใช้ช่วงบนตะเกียบคีบอาหาร กิริยานี้น่าดูแคลนที่สุด เพราะถือว่าไม่ไว้หน้าตนเอง เหมือนหิวจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น


-ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร ถือว่าเป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน ไม่ต่างอะไรจากการชูนิ้วกลางให้ของฝรั่ง

-ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้ จะถือว่าเป็นการสาปแช่ง


-ห้ามวางตะเกียนไขว้กัน คนจีนในปักกิ่งถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกัน ทั้งแก่ตนเองและเพื่อนร่วมโต๊ะ

-ห้ามทำตะเกียบตกพื้น เพราะเสียมารยาทอย่างยิ่ง จะทำให้วิญญาณที่หลับสงบอยู่ใต้พิภพตื่นตกใจ ถือว่าเป็นสิ่งอกตัญญู จะต้องรีบเก็บตะเกียบคู่นั้นวาดเครื่องหมายกาก –บาท บนจุดที่ตะเกียบตกทันที พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ


-วิธีถือตะเกียบที่ถูกต้อง จะต้องถือตะเกียบไว้ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ให้อีกสามนิ้วที่เหลือคอยประคองตัวตะเกียบไว้ และต้องถือให้เสมอกัน เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ.

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รู้หรือไม่? ยาชนิดไหนไม่ควรกินคู่กัน


ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดไหนที่รับประทานคู่กันได้และไม่ได้

เรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึง แก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก ความไม่รู้ ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝด

แฝดที่ดี

เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพหรือทำการ รักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำ งานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้

1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อย

3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี ตัวช่วย พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ

4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและ ถั่วลิสงสักวันละกำมือ

5) น้ำมันปลา(ไม่ใช่น้ำมันตับปลา)ขอให้เลือกชนิดที่มีดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูง ด้วย

แฝดที่ดี

แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ ตัวแม่ ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้


1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้ว

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้ เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไป หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยา พิษให้กับหัวใจและตับตัวเอง

ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมากซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อยๆเป็นตอนต่อไปในคอลัมนี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยและท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบเอาร่วมยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหนแล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียว ว่าตูข้ากินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มากเมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า ไม่ใช่ แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลย

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จริงรึเปล่าที่เค้าว่า "โคอาลา" ไม่ใช่หมี

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกเจ้าตัวนี้ว่าหมีโคอาลาแต่จริงๆ แล้วเจ้านี่น่ะไม่ใช่หมี เพราะตามหลักวิชาการแล้วโคอาลาเป็นสัตว์ในกลุ่มสัตว์จำพวกจิงโจ้ (ซึ่งก็ยังมองไม่ออกว่าหน้าตาโคอาลาเหมือนกันกับจิงโจ้ตรงไหน)ตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่ แต่จากการที่มันมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์ในตระกูลหมีนี่เอง ทำให้คนส่วนมากเรียกมันว่า หมีโคอาลา(Koala bear) นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ใครต่อใครหลายคนเข้าใจว่าเจ้าโคอาลานั้นเป็นหมีชนิดหนึ่ง ...

เด็กดีดอทคอม :: จริงรึเปล่าที่เค้าว่า "โคอาลา" ไม่ใช่หมี

สำหรับโคอาลานั้น ตามที่ได้มีการบันทึกไว้ โคอาลาถูกค้นพบในปี พ.ศ.2341 มีบันทึกครั้งแรกสุดที่พบโคอาล่า พบโดยชาวยุโรปชื่อ John Price ต่อมาพ.ศ.2346 ข้อมูลรายละเอียดของโคอาลาเริ่มถูกตีพิมพ์ในซิดนีย์กาเซ็ตต์ (Sydney Gazette) ค.ศ.1816 นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Blainwill ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้ ชื่อว่าPhascolarctos ซึ่งมาจากภาษากรีก โดยเกิดจากคำ 2 คำ รวมกัน คือคำว่า กระเป๋าหน้าท้องของจิงโจ้ และคำว่า หมี (leather pouch และ bear) ต่อมานักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Goldfuss ได้ตั้งชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็นcinereus ซึ่งหมายถึง สีขี้เถ้า

นอกจากหน้าตาหน้ารัก และพฤติกรรมนั่งๆ นอนๆ เกือบจะทั้งวันของเจ้าโคอาลาแล้ว ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของโคอาล่าคือ โคอาลาสามารถกินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหารได้ในขณะเดียวกันที่สัตว์ชนิดอื่นไม่สามารถกินได้เพราะในใบยูคาลิปตัสนั้นมีสารอาหารน้อยและมีสารที่เป็นพิษต่อสัตว์ แต่สำหรับโคอาลาแล้ว ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้ ระบบย่อยอาหารของโคอาลามีการปรับตัวทำให้สามารถทำลายพิษนั้นได้โคอาลามีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการย่อยไฟเบอร์ (ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของใบยูคาลิปตัส) ยาวมากถึง 200 ซ.ม. ที่บริเวณอวัยวะนี้จะมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยไฟเบอร์ให้กลายเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ อย่างไรก็ตาม โคอาลามีการดูดซึมสารที่ได้จากการย่อยไฟเบอร์ไปใช้เพียงแค่ 25 % ของที่มันกินไปเท่านั้น ส่วนน้ำในใบยูคาลิปตัสส่วนใหญ่ถูกดูดซึม ทำให้โคอาลาไม่ค่อยหาน้ำกินจากแหล่งน้ำ ส่วนใหญ่โคอาลากินใบยูคาลิปตัวประมาณวันละ 2000 ถึง5000 กรัม

เด็กดีดอทคอม :: จริงรึเปล่าที่เค้าว่า "โคอาลา" ไม่ใช่หมี

เด็กดีดอทคอม :: จริงรึเปล่าที่เค้าว่า "โคอาลา" ไม่ใช่หมี

และด้วยความที่อาหารของโคอาลาไม่ค่อยจะมีสารอาหารเท่าไหร่นัก ทำให้โดยปกติมันจะต้องนอนถึง 16-24 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อรักษาพลังงานไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต

สำหรับในประเทศไทยเองก็เพิ่งจะมีเจ้าโคอาลาน้อยเกิดขึ้นมาเป็นสมาชิกใหม่ของสวนสัตว์เชียงใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา โดยเจ้าโคอาลาน้อยตัวนี้มีชื่อว่า น้องปรองดอง ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดตั้งชื่อลูกหมีโคอาลาของสวนสัตว์เชียงใหม่ น้องปรองดองถือว่าเป็นโคอาลาตัวที่สามของสวนสัตว์เชียงใหม่ โดยเจ้าโคอาลาน้อยตัวนี้เป็นลูกซึ่งกำเนิดจากพ่อไบรอันและแม่โคโค่ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ปี 2552 ที่ผ่านมา ..

T

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกเจ้าตัวนี้ว่าหมีโคอาลาแต่จริงๆ แล้วเจ้านี่น่ะไม่ใช่หมี เพราะตามหลักวิชาการแล้วโคอาลาเป็นสัตว์ในกลุ่มสัตว์จำพวกจิงโจ้ (ซึ่งก็ยังมองไม่ออกว่าหน้าตาโคอาลาเหมือนกันกับจิงโจ้ตรงไหน)ตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่ แต่จากการที่มันมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์ในตระกูลหมีนี่เอง ทำให้คนส่วนมากเรียกมันว่า หมีโคอาลา(Koala bear) นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ใครต่อใครหลายคนเข้าใจว่าเจ้าโคอาลานั้นเป็นหมีชนิดหนึ่ง ...

เด็กดีดอทคอม :: จริงรึเปล่าที่เค้าว่า "โคอาลา" ไม่ใช่หมี

สำหรับโคอาลานั้น ตามที่ได้มีการบันทึกไว้ โคอาลาถูกค้นพบในปี พ.ศ.2341 มีบันทึกครั้งแรกสุดที่พบโคอาล่า พบโดยชาวยุโรปชื่อ John Price ต่อมาพ.ศ.2346 ข้อมูลรายละเอียดของโคอาลาเริ่มถูกตีพิมพ์ในซิดนีย์กาเซ็ตต์ (Sydney Gazette) ค.ศ.1816 นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Blainwill ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้ ชื่อว่าPhascolarctos ซึ่งมาจากภาษากรีก โดยเกิดจากคำ 2 คำ รวมกัน คือคำว่า กระเป๋าหน้าท้องของจิงโจ้ และคำว่า หมี (leather pouch และ bear) ต่อมานักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Goldfuss ได้ตั้งชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็นcinereus ซึ่งหมายถึง สีขี้เถ้า

นอกจากหน้าตาหน้ารัก และพฤติกรรมนั่งๆ นอนๆ เกือบจะทั้งวันของเจ้าโคอาลาแล้ว ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของโคอาล่าคือ โคอาลาสามารถกินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหารได้ในขณะเดียวกันที่สัตว์ชนิดอื่นไม่สามารถกินได้เพราะในใบยูคาลิปตัสนั้นมีสารอาหารน้อยและมีสารที่เป็นพิษต่อสัตว์ แต่สำหรับโคอาลาแล้ว ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้ ระบบย่อยอาหารของโคอาลามีการปรับตัวทำให้สามารถทำลายพิษนั้นได้โคอาลามีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการย่อยไฟเบอร์ (ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของใบยูคาลิปตัส) ยาวมากถึง 200 ซ.ม. ที่บริเวณอวัยวะนี้จะมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยไฟเบอร์ให้กลายเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ อย่างไรก็ตาม โคอาลามีการดูดซึมสารที่ได้จากการย่อยไฟเบอร์ไปใช้เพียงแค่ 25 % ของที่มันกินไปเท่านั้น ส่วนน้ำในใบยูคาลิปตัสส่วนใหญ่ถูกดูดซึม ทำให้โคอาลาไม่ค่อยหาน้ำกินจากแหล่งน้ำ ส่วนใหญ่โคอาลากินใบยูคาลิปตัวประมาณวันละ 2000 ถึง5000 กรัม

เด็กดีดอทคอม :: จริงรึเปล่าที่เค้าว่า "โคอาลา" ไม่ใช่หมี

เด็กดีดอทคอม :: จริงรึเปล่าที่เค้าว่า "โคอาลา" ไม่ใช่หมี

และด้วยความที่อาหารของโคอาลาไม่ค่อยจะมีสารอาหารเท่าไหร่นัก ทำให้โดยปกติมันจะต้องนอนถึง 16-24 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อรักษาพลังงานไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต

สำหรับในประเทศไทยเองก็เพิ่งจะมีเจ้าโคอาลาน้อยเกิดขึ้นมาเป็นสมาชิกใหม่ของสวนสัตว์เชียงใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา โดยเจ้าโคอาลาน้อยตัวนี้มีชื่อว่า น้องปรองดอง ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดตั้งชื่อลูกหมีโคอาลาของสวนสัตว์เชียงใหม่ น้องปรองดองถือว่าเป็นโคอาลาตัวที่สามของสวนสัตว์เชียงใหม่ โดยเจ้าโคอาลาน้อยตัวนี้เป็นลูกซึ่งกำเนิดจากพ่อไบรอันและแม่โคโค่ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ปี 2552 ที่ผ่านมา ..

T

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เลือกทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด จะช่วยสร้างสมดุลที่ดีที่สุดให้แก่ร่างกาย สร้างภูมิต้านทาน ระบบย่อย รวมถึงการลดน้ำหนักและเพิ่มพละกำลัง ที่สำคั ช่วยทำให้ไม่แก่เร็วอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรมาทำความรู้จักกับกรุ๊ปเลือดต่างๆกันก่อน จะได้รู้ว่า กรุ๊ปเลือดไหน..ควรรับประทานอะไรถึงจะดี


กรุ๊ป A เหมาะกับอาหารแบบมังสวิรัติ

จึงควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง แต่ต้องระวังอาหารสำเร็จรูปเช่น ไส้กรอกและแฮม เพราะมีไนเตรท์ซึ่งกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะ อาหารประเภทนม ถั่วแดง และอาหารที่มีแป้งสาลีมากเกินไปไม่เหมาะกับชาวกรุ๊ป A เพราะมีผลต่อระบบเผาผลา ระบบย่อยอาหารและชะลอการทำงานของอินซูลิน

การไม่กินเนื้อสัตว์ของชาวกรุ๊ป A จะทำให้ขาดธาตุเหล็ก จึงควรกินข้าวกล้อง ถั่ว มะเดื่อ และน้ำตาลโมแลสซิส ( สีดำที่เอามาทำซีอิ๊วหวาน) ควรเสริมอาหารที่มีวิตามินบีและซีมากๆ เพราะจะช่วยลดปั หากรดในกระเพาะต่ำ เช่น บร็อกคอรี่ ส้มโอ สับปะรด เชอรี่และมะนาว รวมถึงผักใบเขียวต่างๆด้ยยนะจ้ะ

ผู้หญิงเลือดกรุ๊ป A ถ้ามีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ควรรับประทานหอยทาก เพราะ Protein ในหอยจะช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง แต่ถ้าอยู่ในวัยกลางคน ควรเสริมด้วยโยเกิร์ตไขมันต่ำ นมถั่วเหลือง ปลาแซลมอน

สิ่งสำคั ญคนเลือดกรุ๊ป A ไม่เหมาะกับการออกกำลังกายหนักๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า หมดแรง และส่งผลโดยตรงให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง เจ็บป่วยได้ง่ายค่ะ

กรุ๊ป AB เป็นส่วนผสมของกรุ๊ป A และ B อาหารมังสวิรัติจะให้ผลดีต่อร่างกาย

ผลิตภัณฑ์จากนมและไข่รับประทานได้ แต่ไม่มาก หากมีปั ญหาไซนัสอักเสบและหูอื้อ ควรงดอาหารจากผลิตภัณฑ์นม เนย ไข่แดง

Protein ที่เหมาะสมจะได้จากอาหารทะเล เต้าหู้ แกะ กวางและกระต่าย แต่ควรรับประทานครั้งละน้อยๆเพราะกระเพาะของคนกรุ๊ปนี้ ไม่ผลิตน้ำย่อยเพียงพอที่จะย่อย Protein มากเกินไป

ไม่ควรรับประทาน ปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน ถั่วแดงหลวง โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ไม่ควรรับประทานถั่วเม็ด รวมทั้งน้ำมันชนิดต่างๆ ยกเว้นน้ำมันมะกอกเพราะจะส่งผลร้ายต่อร่างกาย

อาหารประเภทข้าวและแป้ง ก็มีประโยชน์กับคนเลือดกรุ๊ปนี้ แต่ให้ระวังแป้งข้าวโพด เพราะเป็นตัวการสำคัญ ทำให้น้ำหนักเพิ่มง่าย เกิดเสมหะ ซึ่งชาวกรุ๊ป AB มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จึงควรรับประทานผักสดมากๆ ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งเกิดได้ง่ายกับกรุ๊ป AB แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เมืองร้อนบางอย่างเช่น กล้วย มะม่วง ฝรั่ง รวมทั้ง ส้ม ซึ่งไม่ดีต่อกระเพาะ ยกเว้นสับปะรดและส้มโอ ที่ช่วยย่อยได้ดีมาก

กาแฟ ชาเขียวและไวน์แดงดีต่อเลือดกรุ๊ป AB ส่วน เบียร์ ให้ผลเป็นกลาง แต่ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ก็ไม่ควรดื่ม

กรุ๊ป B ร่างกายของคนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะจะรับประทานอาหารเนื้อสัตว์

พวกกระต่าย กวาง แกะ ควรหลีกเลี่ยงเนื้ออกไก่ เพราะจะนำไปสู่อาการเส้นเลือดแตกหรือตีบในสมอง และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงควรทานไก่งวง แทน

ชาวกรุ๊ป B เป็นเพียงกรุ๊ปเดียวที่ทานอาหารนมเนยได้เต็มที่ ข้าวโอ๊ดและข้าวกล้อง ก็มีประโยชน์มาก แต่ควรเลี่ยงแป้งสาลี ถั่วบางชนิดเพราะไม่ดีต่อเลือด เกี่ยวข้องโดยตรงกับโรคเครียดและโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ผักส่วนใหญ่ดีต่อสุขภาพของคนกรุ๊ปนี้ ยกเว้นมะเขือเทศ ที่ต้องห้ามกินโดดเด็ดขาดเพราะมีสารก่อกวนผนังกระเพาะ และข้าวโพด ซึ่งมีผลต่อระบบเผาผลาญ แต่ควรทานผักใบเขียวมากๆ โดยเฉพาะเด็กกรุ๊ปB เพราะช่วยป้องกันโรคผื่นคัน

ผลไม้เหมาะกับคนกรุ๊ปนี้มาก ถ้าทานผลไม้วันละ 2-3 ครั้ง จะมีผลดีต่อการรักษาโรคและลดความเจ็บปวด ซึ่งชาวกรุ๊ป B จะตอบสนองกับความเครียดได้ดี เนื่องจากมีบุคลิกภาพยืดหยุ่น ประนีประนอมสูง ไม่ชอบการเผชิ ญหน้าโดยตรงอย่างคนกรุ๊ป O ขณะเดียวกันร่างกายมีพลังมากกว่ากรุ๊ป A

กรุ๊ป O มีระบบที่ย่อยเนื้อแดงดีมาก จึงเหมาะจะรับประทานเนื้อสัตว์

สัตว์ปีก ปลา รวมทั้งผักและผลไม้ และควรรับประทานอาหารทะเลเป็นประจำ เพราะชาวเลือดกรุ๊ปนี้มักมีปั ญหาโรคเลือดไม่แข็งตัวและไทรอยด์ รวมทั้งโรคลำไส้อักเสบที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าเลือดกรุ๊ปอื่นๆ

ห ญิงสาวกรุ๊ป O ไม่ควรรับประทานแป้งสาลี ข้าวโอ๊ค เพราะมีผลต่อระบบการย่อย ทำให้เกิดการสะสมไขมัน ทำให้เพิ่มน้ำหนักตัว เห็ดหอมและมะกอกดองอาจทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาวและมันฝรั่ง ถือเป็นต้นตอให้ปวดข้อ และควรเลี่ยง แคนตาลูป ส้ม สตรอว์เบอรี่เพราะมีกรดสูงเกินไปสำหรับคนเลือดกรุ๊ปนี้

ผักใบเขียวจะให้วิตามินเค สูง ซึ่งจะช่วยให้เลือดแข็งตัว

กรุ๊ปO ควรออกเล่นกีฬาและออกกำลังกายหนักๆ ออกแรงมาก ความเร็วการเต้นของหัวใจสูง จะเป็นประโยชน์มา

ชาวกรุ๊ปO ดื่มไวน์ได้บ้าง แต่ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ซึ่งคนกรุ๊ป O มีมากพออยู่แล้ว



กรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปที่แตกต่างกัน ก็มีผลต่อการเลือกรับประทานอาหารที่แตกต่างกันด้วย การจะเลือกรับประทานอะไรนั้นต้องดูให้เหมาะสมกับตัวคุณเองและเลือดในร่างกายของคุณด้วย เพราะนอกจากจะสร้างสุขภาพอนามัยที่ดีแล้ว ยังช่วยขับโรคร้าย...ไปให้ห่างไกลได้อย่างเหลือเชื่