วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สโตนเฮนจ์ คืออะไร



สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณทุ่งราบซอลส์เบอรี (Salisbury) ประเทศอังกฤษ ไม่มีใครทราบว่าเสาหินเหล่านี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่คาดกันว่ามันถูกสร้างขึ้นมานานกว่า 3,800 ปี และใช้เวลาสร้างไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี

แนวหินสโตนเฮนจ์ประกอบด้วย
แนวหินสีน้ำเงิน 80 ก้อน เรียงเป็นวงกลม 2 ชิ้น ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แห่งมาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่แนวหินสีน้ำเงิน ภายในมีแนวหินเรียงตัวกันคล้ายรูปเกือกม้าอีก 2 แนว ซึ่งแนวหินนี้จะมีการวางหินสองก้อนเป็นเสา และอีกก้อนเป็นคานด้านบน

นักวิชาการต่างถกเถียงกันว่า ใครเป็นผู้สร้างสโตนเฮนจ์ และวัตถุประสงค์ในการสร้างคืออะไร บางคนเชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว เพราะหินบางก้อนหนักถึง 4 ตัน และเคลื่อนย้ายมาจากภูเขาพรีเซลีในแคว้นเวลส์ ซึ่งห่างออกไปหลายร้อยไมล์ บางคนก็เชื่อว่า เป็นการสร้างของนักดาราศาสตร์โบราณ เพื่อสังเกตดวงดาว ใช้เป็นปฏิทินแสงแดด บ้างก็เชื่อว่า สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระเจ้า หรือเป็นสุสานของยักษ์
*นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

1 ปี คนไทยอ่านหนังสือกี่เล่ม ?

จากผลวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกปลูกฝังการอ่านจากพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด จะมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน ทั้งสติปัญญา ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ ด้านอารมณ์ และคุณธรรม


หนังสือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของความรู้มหาศาล และการที่เราได้อ่านหนังสือดีๆ สักหนึ่งเล่ม จะทำให้ไฟในการอ่านในตัว ถูกจุดขึ้นมา ดังนั้นรีบลองค้นหาหนังสือดีๆ จากเพื่อนๆ พี่ๆ เสีย เพราะยังมีหนังสือดีๆ เล่มต่อๆ ไป รอให้เราเปิดอ่านอยู่ รัฐบาลได้ประกาศเรื่อง การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้เริ่มในวันหนังสือเด็กแห่งชาติ 2 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา และเริ่มโครงการเสริมการอ่าน ด้วยการส่งเสริมให้เกิดหนังสือดีราคาถูก ถึงมือเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง


1 ปี คนไทยอ่านหนังสือกี่เล่ม ?

แต่อัตราการอ่านหนังสือของคนไทยเฉลี่ยกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยมีอัตราการอ่านหนังสือ 5 เล่มต่อคนต่อปี อัตราการซื้อหนังสือ 2 เล่มต่อคนต่อปี


ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สิงค์โปร์และเวียดนาม มีอัตราการอ่านเฉลี่ย 40-60 เล่มต่อคนต่อปี อีกทั้งหนังสือที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านคือตำราเรียน ซึ่งส่วนมากเกิดจากความจำเป็นอีกด้วย อัตราที่น้อยนิดนี้ ยังมีแนวโน้มลดลงตามลำดับเมื่อมีอายุสูงขึ้นด้วย


เป็นอัตราส่วนที่น่าใจหายแวบทีเดียว เพราะการอ่านเปรียบเหมือนการเพิ่มพูนความรู้ของเราให้ก้าวหน้า กว้างไกลยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังปลูกฝังนิสัยดีๆ ต่างๆ เช่น รู้จักการยอมรับ ส่งเสริมจินตนาการ รักการอ่าน มีสมาธิ ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า HS

เคย สังเกตกันบ้างไหมว่าเครื่องบินในประเทศไทยได้ใช้สัญลักษณ์การลงทะเบียน อากาศยานที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่ขึ้นต้นด้วย HS หรือที่เรียกกันว่า Hotel Sierra กันนั้น มีประวัติมาจากหนใดกัน

ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า HS
ประเทศที่ขอ Prefix ได้ในช่วงเวลาใกล้ๆกับประเทศไทย ก็มักจะเลือกสัญญาณเรียกขานที่บ่งถึงประเทศตัวเอง เช่น ญี่ปุ่น หรือ JAPAN ได้ JA ส่วน Germany ซึ่งเรียกตัวเองว่า ดอยช์แลนด์ ก็ได้ DL แล้วคำว่า HS ที่นำหน้าสถานีของประเทศไทยนั้นหมายความว่าอย่างไร

ทำไมเครื่องบินในประเทศไทยถึงใช้คำว่า HS
ท่านอาจารย์อุดม จะโนภาษเขียนไว้ว่า "เรื่องนี้ พระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ไชยากรณ์ ซึ่งเป็นโอรสของเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นยังมีอักษรอื่นก่อนตัว HS ที่ทรงเลือกอักษร HS เพราะจะให้มีความหมายว่า "His Majesty The King Of SIAM " ในสมัยนั้นประเทศไทยยังเรียกว่า SIAM อยู่ เวลาเรียกขานทางวิทยุทีหนึ่งก็จะได้เป็นการถวายความเคารพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยจึงมีสัญญาณเรียกขาน ว่า HS ตั้งแต่บัดนั้นมา สถานีโทรทัศน์ เช่น สถานีโทรทัศน์กองทัพบก มีสัญญาณเรียกขานทางวิทยุว่า HSATV ฯลฯ"

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เผยโฉม กระดาษคำตอบ GAT PAT ต.ค.53

การเปลี่ยนแปลงกระดาษคำตอบในการสอบ GAT และ PAT รอบตุลาคม 52 นี้มีความหมายเป็นนัยๆ บางอย่างมาว่า ข้อสอบ PAT บางวิชาจะแปลงร่างมีข้อเขียน หรืออัตนัยเพิ่มขึ้นมา จะเป็นวิชาไหน วันนี้ พี่ลาเต้ มีตัวอย่างกระดาษคำตอบมาให้ดูแล้วครับ..

>>> ข้อสอบ GAT พาร์ท 1 ยังเป็นเชื่อมโยงคิดวิเคราะห์ตามปกติ



>>> ข้อสอบ PAT 1 มาแนวใหม่ ! มีคำถามคำตอบทั้งปรนัย และอัตนัย



>>> ข้อสอบ PAT 2 มีให้ตอบแบบปรนัยหายห่วง



>>> ข้อสอบ PAT 3 แปลงร่างตาม PAT 1 มาติดๆกับปรนัย และอัตนัย




>>> ข้อสอบ PAT 4 มาแนวใหม่ แต่เชื่อว่าคงคุ้นตาน้องๆ หลายคน สถาปัตย์สู้ๆๆ




>>> ข้อสอบ PAT 5 หันมาเอาดีด้านการเชื่อมโยงอีกราย ว่าที่ครูทั้งหลายสู้ๆๆ




>>> ข้อสอบโซนภาษาอย่าง GAT พาร์ท 2 และ PAT 7 ยังเป็นปรนัยเหมือนเดิม


วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

5 เคล็ดลับสู่การเป็น "นักแปล" ที่ดี

"ภาษา" ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ ต่างก็หวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะมีโอกาสได้โชว์ความสามารถทางด้านภาษาใช่ไหมจ๊ะ ซึ่ง "การแปลหนังสือ" ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้แสดงให้คนอื่นได้รู้ถึงความสามารถ


การแปลหนังสือน้องๆ อาจจะนึกว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะเพียงแค่แปลจากสิ่งที่นักเขียนเขียนเท่านั้น แต่พี่ปัดขอบอกว่า "ไม่จริงเลยจ้ะ" ถ้าไม่เชื่อล่ะก็มาฟังความรู้สึกของนักแปลตัวจริงเสียงจริงกันเลยดีกว่า

โดยพี่ได้มีโอกาสไปพบปะพูดคุยกับนักแปลชื่อดังอย่าง "คุณ วัฒนิจ คงธนารัตน์" เจ้าของผลงานแปลมากมาย อาทิ "เคท ออสเตน สืบลับฉบับโรแมนซ์" , “สืบวุ่น...กรุ่นกลิ่นไวน์" , “ใบสั่งฆ่า" ฯลฯ ที่เจ้าตัวบอกถึงเคล็ดลับในการเตรียมตัวเป็นนักแปลว่า....

"อยากเป็นนักแปล อันดับแรกเลย 'ต้องขยันอ่าน' ค่ะ หากใจไม่รักการอ่านก็คงจะทำงานได้ยาก เพราะการแปลหนังสือต้องอ่านหนังสือทั้งเล่ม และทำความเข้าใจกับมัน

อันดับที่สอง 'ต้องเป็นคนรักษาเวลา' เพราะหากเราไม่รักษาเวลา ตารางงานที่ทางสำนักพิมพ์วางไว้ก็อาจคลาดเคลื่อนได้

อันดับที่สาม 'ต้องขยันสังเกต และรู้จักพลิกแพลง' เนื่องจากศัพท์ หรือสำนวนภาษาอังกฤษบางคำก็ไม่ได้มีความหมายตรงภาษาไทยเสมอไป เราต้องคิดเอาเองว่า มันควรจะเข้ากับสุภาษิตแบบใด ข้อนี้รวมไปถึงคำแสลงต่างๆด้วยนะคะ

อันดับสี่ 'ความใส่ใจ' เพราะหนังสือแต่ละเล่มที่เราได้รับมา อาจจะมีเรื่องราวเฉพาะทางแตกต่างกันไป เราจะต้องพยายามหาความรู้ในเชิงลึกสำหรับด้านนั้นๆ เพื่อจะได้แปลเรื่องราวออกมาให้คนอ่านสัมผัสมันอย่างสนุกสนานและถูกต้องด้วยนะคะ

อันดับห้า 'ความขยัน' งานแปลไม่ใช่งานง่ายๆจะต้องอาศัยความขยันและอดทนบวกกับความรักหนังสือ จึงจะผลิตผลงานออกมาสู่ท้องตลาดได้ค่ะ"

การเป็นนักแปลนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของน้องๆ เลยจ้ะ เพียงแค่มีความตั้งใจและฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ น้องๆ ก็สามารถทำได้แล้วจ้ะ และถึงแม้จะชื่นชอบภาษามากขนาดไหน น้องๆ ก็ต้องรู้จักใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องก่อนนะจ๊ะ เพราะเป็นภาษาประจำชาติไทยของเรา

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Victoria's Secret เคล็ดลับความสวยของสาวอเมริกัน



เริ่มจากในปี ค.ศ. 1977 รอย เรมอนด์ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) นักธุรกิจชื่อดังซึ่งจบการศึกษาจาก Stanford Graduate School of Business ได้ริเริ่มคิดจะสร้างแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงขึ้นมา โดยสาเหตุก็เกิดมาจาก รอย เรมอนด์เขาเกิดความเขินอายเวลาที่ต้องไปซื้อพวกเสื้อผ้าหรือเครื่องชั้นในสตรีให้กับภรรยาเขานั่นเองล่ะค่ะ (น่ารักเนาะ) โดยได้เปิดชอปแรกขึ้นที่ห้างสรรพสินค้า Stanford Shopping Center และก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจนต้องขยายสาขาอื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในการลงทุนเพื่อจะสร้างแบรนด์นี้ เขาต้องใช้เงินมากถึง $80,000 หรือประมาณ 4 ล้านบาท แต่ก็นับว่าคุ้มค่ามาก เพราะเพียงปีเดียว บริษัทก็สามารถสร้างรายได้มากถึง $500,000 เลยค่ะ

แต่ในปี 1982 เขากลับตัดสินใจขายต่อกิจการ Victoria Secret ซึ่งในขณะนั้นมีชอปทั้งหมด 6 ชอป ให้แก่บริษัท The Limited ซึ่งบริษัท The Limited นี้ ยังผลิตสินค้าอีกมากมายหลายแบรนด์ รวมถึงยังเป็นเจ้าของ Bath & Body Works สกินแคร์ชื่อดังที่หลายคนชอบมองว่าเป็นคู่แข่งของ Victoria Secret นั่นเอง
แต่ ! ในวันที่ 10 ก.ค. 2007 The Limited ได้ขายหุ้นส่วน 75% ของ Victoria Secret และ Bath & Body Works ให้แก่บริษัท Sun Capital Partners ...จนถึงปัจจุบันมีชอปเสื้อผ้าของ Victoria Secret มากกว่า 1,000 ร้าน และมีชอปสินค้าประทินผิวมากกว่า 100 ร้าน ในอเมริกา
และในปี 1990 Victoria Secret ได้กลายเป็นแบรนด์เสื้อผ้าชั้นในสตรีที่มีเงินลงทุนสูงสุดในอเมริกา

ปัจจุบันสินค้าของ Victoria Secret เน้นที่เสื้อผ้าของผู้หญิง นำเสนอออกมาในแบบเรียบง่ายหรือ Casual โดยจะค่อนข้างเหมาะกับผู้หญิงวัยทำงานมากกว่าวัยรุ่น นอกจากนั้นยังมีสินค้าประทินผิวจำพวก Hair Care , Make up , Skin Care และ Body Care ที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีกลิ่นที่หอมติดทนไปทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น Enchanted Apple, Jojoba Butter Sweet , Amber Romance , Strawberry & Champagne , Vanilla Lace และอื่นๆ อีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้ ก็คือแชมพูและครีมนวดผมรุ่น So Sexy ที่เคยฮอทฮิตอยู่พักหนึ่ง ขอบอกว่าหอมมากๆ ค่ะ


สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดดึงดูดส่งเสริมการตลาดของ Victoria Secret นั่นคือมักจัดโปรโมชั่นลดราคาออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นพวกช่วงเทศกาลต่างๆ ยิ่งลดลงจนถูกมากๆ จนเหมือนแจกฟรีเลยล่ะค่ะ