วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ความรู้เกี่ยวกับอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ Statue Of Liberty


อนุสาวรีย์ เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่ ณ เกาะเบคโล ปากอ่าว แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้เป็นของขวัญ แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429

เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง มือซ้ายถือถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า "JULY IV MDCCLXXVI" หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319(ค.ศ. 1776) เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7 แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของ เอดูอาร์ด เดอ ลาบูลาเย นักประวัติศาตร์ ชาวฝรั่งเศส เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส ระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน ออกแบบโดย เฟรเดริค ออกุสต์ บาร์โธลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแฌน แอมมานูแอล วิโอเลย์ เลอ ดุค และ อเล็กซองเดรอะ กุสตาฟ แอฟแฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ส่วนฐานอนุสาวรีย์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา

สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ

เกล็ดความรู้ของ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพอนุสาวรีย์แห่งนี้ฝรั่งเศสมอบให้แก่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1886 จากฐานถึงคบเพลิงของอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพมีความสูง 305 ฟุต บริเวณที่เป็นมงกุฎของเทพีสันติภาพ เป็นจุดสูงสุดที่อนุญาตให้ขึ้นไปได้ ประกอบด้วยหน้าต่าง 25 บาน มาอ่านเกร็ดความรู้เกี่ยวกับอนุสาวรีย์แห่งนี้กัน

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

เนื้อปลา....ราชาแห่งโปรตีน



ไขมันต่ำและเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายปลายังมีไขมันต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือที่เรียกว่า โอเมก้า3 ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่เราไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากกรดไขมันโอเมก้า3ที่มีอยู่ในปลาช่วยป้องกันการสะสมตัวของไขมันอิ่มตัว หรือคลอเลสเตอรอล อันเป็นสาเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตัน ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตกได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น


-•-ช่วยในการลดน้ำหนัก ในปี 1999 นักวิจัยออสเตรเลียพบว่า การบริโภคปลาที่มีโอเมก้า3 สูง เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอล จะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น

-•-บำรุงสมอง ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า3 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้


-•-ช่วยลดความเครียด Archives of General Psychiatry ได้รายงานการวิจัย เกี่ยวกับน้ำมันปลา ว่าสามารถลดความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาท ที่มักจะอาละวาด ทำให้มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงได้


-•-บรรเทาอาการซึมเศร้า การศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาดโอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้คนมีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น และขาดความสามารถในการอ่านหนังสือได้


-•-บรรเทาอาการของโรคไขข้ออักเสบ จากการวิจัยในช่วง10 ปีที่ผ่านมา พบว่า น้ำมันปลาช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ จนสามารถลดการใช้ยาบางส่วนลงได้


-•-ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง การศึกษาวิจัยระบุว่า การกินปลาที่มีไขมันมาก จะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง อย่างสะเก็ดเงิน (เรื้อนกวาง) เพราะปลามีวิตามินดีจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่มากนั่นเอง


-•-ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ จากการวิจัยในปี 1998พบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้น จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุว่า ในไขมันปลามีกรดไขมันอีพีเอ (EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า3ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ในเครื่องสำอางมีอะไรบ้าง


ส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอาง

ในเครื่องสำอางแต่ละชนิดมักจะมีการหลักเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตจะใช้สารใดในกลุ่มนั้นๆ ซึ่งอาจจะต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ของส่วนผสมอื่น คุณภาพของสารจัดอยู่ในเกรดไหน คุณสมบัติตรงตามความต้องการหรือไม่ สีและกลิ่นเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดก็คือราคา เมื่อเลือกได้แล้วจึงผสมสารหลักต่างๆ ลงไปตามขั้นตอนของการทำเครื่องสำอางชนิดนั้นๆ สารหลักเหล่านั้นได้แก่

1. น้ำ (Water)

น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง มักจะใช้น้ำกลั่นเพื่อความบริสุทธิ์ ไม่มีสารเจือปนและปราศจากเชื้อโรค ในเครื่องสำอางแต่ละชนิด จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ เช่น ครีมมีส่วนที่เป็นน้ำและน้ำมันอยู่ด้วยกัน โลชั่นคือครีมที่มีน้ำมากกว่า ถ้าเป็นโทนเนอร์ก็จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด

2. น้ำมัน (Oil)

ครีมทั่วไปจะมีน้ำมันหรือไขมันเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะมีสัดส่วนมากน้อยแตกต่างกันไป ผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า Oil-free นั้นจะมีส่วนที่เป็นน้ำมันน้อยแต่มีน้ำมาก ไขมันหรือน้ำมันประกอบไปด้วยกรดไขมันชนิดใดชนิดหนึ่ง และกลีเซอรีน (Glycerine) เป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างกรดไขมันทั้ง 2 ชนิด คือ กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acid)

น้ำมันหรือไขมันที่เป็นส่วนประกอบในครีมบำรุงผิวนั้น ก็เพื่อป้องกันน้ำระเหยออกไปจากผิวหนัง การเลือกซื้อครีมที่เหมาะกับผิวก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผิวแต่ละคน โลชั่นจะเหมาะกับคนผิวมันเนื่องจากมีส่วนที่เป็นน้ำมันน้อย ส่วนคนที่มีผิวแห้ง หรือตอนหน้าหนาวผิวแห้งก็อาจจะลองเปลี่ยนมาใช้ครีมแทน น้ำมันหรือไขมันไม่สามารถดูดซึมลึกลงไปในผิวหนังได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันที่มาจากพืชหรือสัตว์

3. สารที่ทำให้ข้น (Consistance)

น้ำกับน้ำมันเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีสารที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างน้ำกับน้ำมันให้อยู่ด้วยกันได้ สารนั้นเรียกว่า Emulsifier ซึ่งเป็นตัวทำให้ข้น ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำเป็นต้องมีสารดังนี้ Lecitin, Lsopropyl Lanolate, Lsopropyl Myrsitate, Cococa Butter ฯลฯ

4. สารที่ทำให้ลื่น (Emollient)

เป็นสารที่ทำให้ส่วนผสมอื่นๆ ให้เกลี่ยหรือซึมได้ทั่วผิวหนัง สารที่ทำให้ลื่นมีหลายชนิด เช่น Propylene Glycol, Butylene Glycol, Polysrbates Glycol เป็นต้น

5. สารดูดชับน้ำ (Huemactant)

เป็นสารที่ช่วยให้ผิวรักษาน้ำไว้ได้ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน สารเหล่านี้มีหลายชนิด เช่น Hyaluronic Acid, NaPCA, Collagen, Elastin, Prtein, Amino Amino Acid ฯลฯ สารเหล่านี้เป็น Moisturizer ที่ดีสำหรับผิว แต่ไม่สามารถซึมเข้าไปในผิวได้

6. สารกันเสีย (Preservative) และสาร Antioxidants

ในการผลิตเครื่องสำอางต่างๆ ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมากในทุกขั้นตอนการผลิต ภาชนะที่บรรจุต้องสะอาดปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์เสียหรือบูดได้ง่าย ดังนั้นในเครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องใส่สารกันเสียเพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์นั้นให้นานขึ้น สารกันเสียมีจุดประสงค์หลัก 2 ประการ คือ

1. เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ

2. เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เรียกสารชนิดนี้ว่า Antioxidants

7. น้ำหอม (Perfume)

ผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดมีการใส่น้ำหอมเพื่อให้มีกลิ่นหอมน่าใช้เป็นเอกลักษณ์ ความจริงแล้วน้ำหอมไม่ได้มีส่วนในการออกฤทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ให้กลิ่นหอมเท่านั้น ดังนั้นหากคุณมีผิวที่แพ้ง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมดีกว่า น้ำหอมแบ่งออกได้ 3 ชนิด คือ

1. Natural Perfume เป็นน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ

2. Natural ldentic Perfume หมายถึงน้ำหอมที่มีส่วนประกอบและกลิ่นเหมือนกับน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ

3. Perfume Synthetic คือน้ำหอมกลิ่นสังเคราะห์ที่ไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ

8. สี (Color)

เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการผลิตเครื่องสำอาง สีที่ใช้ในเครื่องสำอางบางชนิดก็เพื่อให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ในเครื่องสำอางบางชนิดสีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก เช่น แป้งผัดหน้าที่มีสีเนื้อโทนต่างๆ ลิปสติก อายแชโดว์ ดินสอเขียนคิ้ว หรือน้ำยาโกรกสีผม เป็นต้น

9. อื่นๆ

อาทิเช่น สารสกัดจากพืชหรือสมุนไพร (Herb Extract), วิตามิน (Vitamin), สารซักฟอก (Detergent), สารสมานผิว (Astringent)

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

4 เหตุผลที่ควรกินไข่เป็นอาหารเช้า


ท่านอาจารย์กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหารตีพิมพ์เรื่อง "เมนูไข่...ไข่...ไข่..." ในวารสาร HealthToday ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2552 (ที่ถูกมองข้าม ปัจจุบันคนเราไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้กันเท่าไหร่นัก !!!)

ท่านกล่าวว่า ไข่เจียวหรือไข่คน (omlette / ออมเลทท์) เป็นอาหารประเภท 'comfort food' หรือทำง่าย อิ่มท้อง และดีกับสุขภาพ ผู้เขียนขอนำเรื่องคุณค่าของอาหารไข่มาเล่าสู่กันฟัง...

(1). ไข่ไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง
ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำให้โคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดสูงคือ ไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู การกินเนื้อมากเกิน (เนื้อที่เห็นเป็นเนื้อแดงก็มีไขมันแฝงอยู่มาก) ฯลฯ
...
และที่ร้ายที่สุดคือ ไขมันทรานส์หรือไขมันแปรสภาพ ซึ่งส่วนใหญ๋มาจากการนำไขมันพืชไปเติมไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม (คอฟฟี่เมต) ที่ใช้ทำเบเกอรี ขนมกรุบกรอบ อาหารฟาสต์ฟูด
แนวทางในการลดโคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดหลักคือ การลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ รองลงไปคือ การออกแรง-ออกกำลังให้มากพอเป็นประจำ และการกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลให้น้อยลง
...
ไข่ 1 ฟองมีโคเลสเตอรอลมากถึง 210 มิลลิกรัมก็ใช่ แต่ผลการศึกษาวิจัยพบว่า คนที่กินไข่สัปดาห์ละ 4 ฟองมีโคเลสเตอรอลต่ำกว่าคนที่กินไข่สัปดาห์ละ 1 ฟองหรือไม่กินไข่เลย
กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนสูงและมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างต่ำ ทำให้อิ่มนาน และความอิ่มนี่เองมีส่วนทำให้กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อ อาหารประเภท "ผัดๆ ทอดๆ" ฯลฯ ลดลง

(2). ไข่มีโคลีนสูง
ไข่ 1 ฟองให้โคลีนมากประมาณ 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน การกินไข่จึงเปรียบคล้ายการซื้อ "ประกันชีวิต" ในเรื่องอาหารคุณค่าสูงว่า โอกาสขาดสารอาหารจะลดลงไปมากมาย
...
โคลีน (choline) เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผนังเซลล์ของสมองและเซลล์ประสาท เป็นองค์ประกอบของสารสื่อประสาทที่สมองใช้ในการสื่อสารภายใน (คล้ายๆ จุดเชื่อมหรือ router ของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต)
คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของโคลีนคือ มันออกฤทธิ์ต้าน (ลด) การอักเสบ หรือป้องกันไม่ให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบได้ในระดับหนึ่ง
...
การอักเสบนี้มีผลมากเป็นพิเศษที่ผนังหลอดเลือด เนื่องจากผนังหลอดเลือดที่มีการอักเสบจะบวม และสูญเสียความ "เรียบลื่น (ปกติจะลื่นคล้ายๆ กระทะเคลือบเทฟลอน)" ทำให้คราบไขมันไปพอก หรือเกล็ดเลือดไปเกาะกลุ่มได้ง่าย

(3). ไข่แดงบำรุงสายตา
ลูทีน-ซีแซนทีนเป็นสารพฤกษเคมีหรือสารคุณค่าพืชผักกลุ่ม "สีเหลือง-แสด" ช่วยปัองกันจอรับภาพ (retina / เรทินา) โดยทำหน้าที่เป็นตัวกรอง (คล้ายๆ กับเป็นแว่นกันแดดชั้นดี) แสงสีน้ำเงินหรือฟ้า และรังสี UV (อัลตราไวโอเลต / ultraviolet) ทำให้ความเสี่ยง (โอกาสเป็น) โรคตาเสื่อมสภาพ หรือตาบอดในคนสูงอายุ(age-related macular degeneration / ARMD) ลดลง
...
แน่นอนว่า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า แสงไฟจ้า หรือการอยู่หน้าจอ TV, จอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นการดีที่สุด
ทว่า... ถ้าจำเป็นต้องทำงานกลางแดด ชมโทรทัศน์ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละนานๆ การพักสายตาอย่างน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง และการกินอาหารที่มีลูทีน-ซีแซนทีนสูง เช่น ผักใบเขียว (เช่น บรอคโคลี ฯลฯ) ถั่วที่มีสีเขียว ข้าวโพด ฯลฯ ก็ช่วยได้มาก

(4). ช่วยลดความอ้วน
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนที่กินไข่เป็นอาหารเช้ามีโอกาสลดน้ำหนักและเส้นรอบเอวสำเร็จมากกว่าคนที่กินขนมปังเป็นอาหารเช้า
กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนคุณภาพสูง ทำให้อิ่มนาน และอย่าลืมว่า ไม่ใช่กินอาหารเท่าเดิมแล้วเสริมไข่เข้าไป แต่ต้องใช้หลัก "อาหารทดแทน" ด้วย คือ กินไข่เข้าไป แล้วลดอาหารอย่างอื่นให้น้อยลงจึงจะได้ผล
อาจารย์กฤษฎีแนะนำเคล็ดไม่ลับในการกินไข่ไว้ดังต่อไปนี้
(1). กินพอประมาณ
คนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีความเสี่ยงต่อโรคสูง กินไข่ได้วันละ 1 ฟอง
คนที่มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงต่อโรคสูง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นโรคโคเลสเตอรอลสูงพันธุกรรม ฯลฯ ควรปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนกินไข่
(2). เวลาซื้อต้องหมุนไข่ ตรวจสอบให้รอบทิศ > อย่าซื้อไข่ที่มีรูทะลุหรือรอยแตก
(3). เก็บไข่ในตู้เย็นส่วนตัวตู้ จะเก็บไข่ได้นานขึ้น > ส่วนประตูตู้เย็นมักจะเย็นน้อยกว่าส่วนกลางตู้เย็น
(4). ฟอกไข่ด้วยฟองน้ำล้างจานกับสบู่หรือน้ำยาล้างจาน
ล้างมือหลังหยิบจับเปลือกไข่ดิบทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีเชื้อโรคท้องเสียติดไปกับเปลือกไข่ได้
สถิติสหรัฐฯ พบว่า โอกาสพบเชื้อท้องเสีย (salmonella) ในไข่มีประมาณ 1 ใน 30,000 ฟอง
(5). กินไข่สุก อย่ากินไข่ดิบ
ไข่ดิบ เช่น ไข่ลวก ฯลฯ มีโปรตีน (avidin) ที่จับวิตามิน B ที่ชื่อ ไบโอทิน (biotin) ทำให้การดูดซึมลดลง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจมีไข่ดิบผสมอยู่ เช่น ไอศกรีมทำเอง (home-made = ทำที่บ้าน นอกโรงงาน) น้ำสลัดซีซาร์ ฯลฯ
เวลาทำขนมหรือคุกกี้ใส่ไข่ดิบ... ไม่ควรชิมในช่วงที่ขนมหรือคุกกี้ยังไม่สุก
องค์ความรู้ในเรื่องไข่คงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 5-10 ปี ตอนนี้ทางที่ดีคือ 'eat in moderation' หรือ "กินพอประมาณ (เดินสายกลาง)" ไปก่อน
โคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดประมาณ 80% สร้างที่ตับ... ตับจะสร้างโคเลสเตอรอลมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ (กินมากสร้างมาก กินน้อยสร้างน้อย)
...
อีก 20% เป็นโคเลสเตอรอลจากอาหาร แนวทางการลดโคเลสเตอรอลจึงควรเน้นการลดเจ้าไขมันตัวร้ายเป็นหลัก รองลงไปจึงจะเป็นการลดโคเลสเตอรอลในอาหาร

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

ร้อนๆแบบนี้ เลือกครีมกันแดดยังไงดี ?


ถึงแม้แสงแดดจะมีคุณประโยชน์ที่หลากหลายต่อมนุษย์ แต่การได้รับ แสงแดด ในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจทำให้ผิวไหม้แดง เกิด ฝ้า กระ และทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย ไปจนถึงอาจเกิดโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งผิวหนัง การปกป้องแสงแดดจึงเป็นเรื่องจำเป็น และการใช้ครีมกันแดดก็เป็นทางเลือกยอดนิยมอย่างหนึ่ง หากก็ต้องเลือกและใช้ให้เหมาะสม เพื่อที่จะได้ประสิทธิภาพในการกันแดดอย่างเพียงพอ

ครีมกันแดด โดยทั่วไปมักจะบ่งบอกถึง SPF หรือ ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดชนิด UVB แต่ที่ควรใส่ใจไม่แพ้กันก็คือค่าการปกป้องรังสี UVA ซึ่งมักจะบ่งบอกไว้ด้วยคำว่า PA หรือ PPD นอกจากนี้ ครีมกันแดดที่ดีควรมี Photos ility หรือความคงทนต่อแสงของครีมกันแดด ซึ่งครีมกันแดดที่ไม่คงทนต่อแสงหรือสลายไปมากกว่า 25% หลังถูกแสงยูวี จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดลดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเลือก ครีมกันแดด ที่เหมาะสมแล้ว แต่ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้อง ประสิทธิภาพของ ครีมกันแดด ก็จะลดน้อยลง อย่างเช่น การทาครีมกันแดดนั้น หากจะให้ได้ประสิทธิภาพตามที่กำหนด ก็ต้องใช้ปริมาณครีมราวหนึ่งช้อนชาต้อหนึ่งตารางเซนติเมตร หรือราวสองข้อนิ้วมือสำหรับการทาหน้าและคอ ซึ่งโดยทั่วไปคนเรามักทาน้อยกว่านั้น จึงแนะนำให้แบ่งทาครีมกันแดดสักสองรอบ โดยใช้ครีมแต่ละครั้งราวหนึ่งข้อนิ้วมือ และควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดราว 15 นาทีเพื่อให้ครีมกันแดดยึดติดกับผิวได้ดีกว่า และถ้าต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ ก็ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกสองชั่วโมง

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับใช้น้ำหอมในหน้าร้อน

ร้อนจะตาย จะให้เป็นลมเพราะดมกลิ่นตัวเหม็นๆ หรือเวียนเฮดกับกลิ่นน้ำหอมของเพื่อนสาว .. ไม่อยากให้คนรอบตัวรู้สึกแบบนั้น ลองอ่าน

เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า อุณหภูมิที่ร้อนแรงอย่างนี้อย่างบ้านเราส่งผลให้กลิ่นหอมที่เพื่อนๆ ใช้อยู่เปลี่ยนไปได้ และอาจเปลี่ยนจากกลิ่นหอมที่ชวนหลงใหลเป็นกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนา เรามารู้เคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อนกันเถอะเพื่อส่งความหอมให้ทั่วเรือนกายอย่างไม่ผิดเพี้ยน และเป็นที่พึงปราถนาให้กับคนรอบข้างด้วย


1. สำหรับหน้าร้อนนี้การเลือกใช้น้ำหอม ควรเลือกลิ่นน้ำหอมแนวสดชื่น เย็นสบาย กลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนจนเกินไป อาทิ น้ำหอมที่มีส่วนผสมจาก orange blossom, pear, mint, ginseng และ ginger
2. หากคุณเป็นคนผิวมัน ความร้อนจากอุณหภูมิที่ร้อนแรงจะยิ่งสามารถกระจายกลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ได้แรงกว่า และมากกว่าสภาพผิวอื่นๆ เพราะฉะนั้นในหน้าร้อนนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรเลือกกลิ่นน้ำหอมที่อ่อน ๆ เมื่อฉีดจะได้ไม่ฉุนจนเกินไป
3. หากเกรงว่ากลิ่นน้ำหอมที่ใช้อยู่นั้นจะแรงไป ให้หยดน้ำหอมใส่สำลีเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน เพื่อให้กลิ่นหอมอยู่กับเรา และอยู่ได้นานๆ ด้วย หรือ เติมกลิ่นหอมให้สัมภาระในกระเป๋าหรือผ้าเช็ดหน้า โดยการเอาของที่อยากให้มีกลิ่นหอมมาใส่รวมในกล่องที่ปิดฝาได้ แล้วฉีดน้ำหอมใส่สำลีก้อน แล้วใส่ลงไปในกล่องปิดฝาอบกลิ่นเอาไว้ วิธีนี้ใช้ได้กับเสื้อผ้าในตู้ด้วย ดีกว่าพรมน้ำหอมลงไปบนเสื้อทำให้เกิดรอยด่างที่เสื้อได้
4. ฉีดน้ำหอมใส่ฝ่ามือ เวลาจับมือใครจะได้หอมๆ และชวนสัมผัส เพราะหน้าร้อนบางคนจะมีเหงื่อออกที่ฝ่ามือจึงอาจส่งกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาได้

5. ในกรณีน้ำหอมแบบแต้ม ควรใช้ Cotton Bud แตะน้ำหอมจากปากขวดแทนนิ้วมือ แล้วไปแต้มตามบริเวณจุดชีพจรต่าง ๆ บนร่างกาย เพราะกลิ่นน้ำหอมในขวดจะเปลี่ยนได้ หากได้รับความร้อนจากอุณหภมิจากนิ้วมือของเรา
6. ถ้าอยากหอมไปทั้งวัน แนะนำให้ใช้ Shampoo, Shower gel, deodorant ที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอมจะช่วยให้ความหอมอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
7. เคล็ดลับสำหรับเส้นผม และในหน้าร้อนนี้ เหงื่อออกมาทั่วเรือนกายไม่เว้นแม้แต่เหงื่อบนหนังศีรษะ ดังนั้นเพื่อคงความหอมทั่วเรือนกาย ให้ฉีดน้ำหอมที่ผมโดยห่างประมาณ 1 ฟุต โดยใช้กลิ่นเดียวกับกลิ่นหอมที่ฉีดที่ตัว หรือฉีดสเปรย์น้ำหอมกลิ่นเดียวกันลงบนแปรงหวีผม สเปรย์ห่าง ๆ พอให้ละอองจับบนแปรง แล้วค่อยบรรจงหวีผม แต่แอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในน้ำหอมอาจทำให้ผมเสียได้ เพราะฉะนั้นต้องหมั่นทรีตเม้นผมเป็นประจำด้วย


เพียง 7 ข้อนี้กับเคล็ดลับการใช้น้ำหอมหน้าร้อน คุณก็จะเป็นคนที่ใครๆ ปรารถนาอยากจะใกล้ชิดแล้วหละ ด้วยกลิ่นที่ชวนหลงใหลรับฤดูร้อนนี้

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

9 วิธีพักใจ คลายเครียด

มีงานวิจัยบอกว่าสุขภาพของผู้หญิงขึ้นอยู่กับการหัวเราะ การเล่นออกกำลังกาย การมีช่วงเวลาของความสุข และการผ่อนคลาย เมื่อใหร่ที่รู้สึกเครียด ชวนสาวๆ (และหนุ่มๆ)มาลองใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อคลายเครียด สามารถทำได้เองที่บ้านค่ะ

1. จุดเทียนหอมในบ้าน จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย กลิ่นที่ควรเลือกซื้อ คือ ลาเวนเดอร์ วานิลลา จันทน์หอม (sandalwood) หรือสเปียร์มิ้นต์
2. สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และค่อย ๆ หายใจออกทางปาก ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งจะช่วยให้รู้สึกสงบ
3. อยู่เงียบ ๆ หามุมสงบหรืออยู่ในห้องเพียงลำพังสัก 5 นาที เพื่อจะได้ปล่อยตัวตามสบายบนเก้าอี้ ที่นอน หรือจะนั่งเหยียดขาที่พื้นก็ไม่ว่า จากนั้นกำหนดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ แค่นี้ก็สามารถช่วยลดความตึงเครียดได้
4. ฟังดนตรีเพื่อผ่อนคลาย ปัจจุบันนี้มีดนตรี เพื่อความผ่อนคลายให้เลือกอยู่หลากหลาย อาจซื้อมาสัก 2 แบบ สำหรับฟังในช่วงกลางวัน และก่อนนอน
5. หาหนังสือหรือนวนิยายดี ๆ มาอ่าน แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองได้หลุดเข้าไปอีกโลกใบหนึ่งเลยทีเดียว
6. การระบายสี เป็นวิธีผ่อนคลาย และลดความตึงเครียดที่ดีอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการระบายด้วยสีน้ำ เพราะไม่มีขอบเขตของการใช้ที่ตายตัว จึงสามารถปล่อยใจให้ละเลงพู่กันได้อย่างอิสระ
7. เดินเล่นชิลล์ ๆ สัก 10 นาที ซึ่งอาจจะเป็นสวนสาธารณะใกล้บ้านเพื่อจะได้สัมผัสกับธรรมชาติ และทัศนียภาพที่สวยงาม เพราะธรรมชาติจะช่วยผ่อนคลายได้อย่างดียิ่ง
8. เขียนบันทึกประจำวัน ก่อนนอนคุณควรหาเวลาว่างสัก 10-15 นาที เพื่อเขียนบันทึกประจำวัน เพราะจะช่วยให้ระบายความเครียดได้ดีทีเดียว
9. ใช้จินตนาการ ลองปิดตาแล้วนึกถึงสถานที่ที่สงบ พร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ และเพื่อความผ่อนคลาย ลองจินตนาการขณะฟังดนตรี หรือจุดเทียนหอมไปด้วยก็ได้ค่ะ

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

6ผลไม้ที่ สาวๆ กินแล้วคุ้ม

นอกจากสถานการณ์การบริโภคผักของคนไทยแล้ว สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยังแนะนำพืชผักผลไม้ชั้นดี 7 ชนิด ที่ผลวิจัยยืนยันถึงสรรพคุณ "กินแล้วคุ้ม"

ถั่วมันๆ : ถั่วเป็นอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี และที่สำคัญนักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า ถั่วช่วยเคลือบกระเพาะอาหารให้อิ่มเร็วและนานมากขึ้น ความอยากอาหารก็จะลดน้อยลงด้วย ทุกวันนี้ถั่วจึงได้รับการการันตีว่าเป็นต้นทางของการลดน้ำหนักแบบปลอดภัย



บร็อกโคลี่ : เป็นแหล่งอุดมธาตุซีลีเนียมที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี อีกทั้งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวหนังได้อย่างดีเยี่ยม กินบ่อยๆ ช่วยให้อบอุ่น มีน้ำมีนวล


ฝรั่ง : ฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินสูงถึง 180 มิลลิกรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจนยอดปรารถนาของหนุ่มสาวยุค ใหม่ เพราะช่วยให้เซลล์นับล้านๆ เกาะเกี่ยวกันเหนียวแน่น ช่วยให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่งตึงไร้ร่องรอย


กล้วยไข่ : อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหรือเบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติ กล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม



ส้ม : เป็น อีกแหล่งขุมทรัพย์ของวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานโดยไม่คายกากนั้นเป็นอีกทางเลือกช่วยควบคุมน้ำหนักได้วิธีหนึ่ง เพราะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วกว่าปกติ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ชั้นดี


แอปเปิ้ล : ประกอบ ด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ชื่อเพ็กติน ช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด อีกทั้งยังช่วยลดความหิวอาหารได้ เพราะแอปเปิ้ลมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึงร้อยละ 75 ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที