วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เทคนิคทำความสะอาดลึกถึงซอกฟัน




การทำความสะอาดฟันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคในช่องปากไม่ว่าจะเป็น ฟันผุ โรคเหงือก จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เกี่ยวกับอนามัยของฟัน ตั้งแต่แปรงสีฟัน มีกันหลายแบบหลายชนิด ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก อุปกรณ์เสริมในการทำความสะอาดฟันก็มีมากมาย แต่ก็มักมีคำถามที่เกิดขึ้น บ่อยๆ ว่า ก็แปรงฟันทุกมื้อหลังอาหาร ยาสีฟันก็ใช้อย่างราคาแพง น้ำยาบ้วนปากก็มีบ้วนเป็นประจำ มั่นใจมากว่าสะอาดแน่ แต่ทำไมยังเกิดโรคเหงือกอักเสบ ฟันผุได้เพราะมีเศษอาหารค้างอยู่

การเกิดโรคเหงือกอักเสบ และฟันผุได้ ก็ต้องมีคราบอาหารค้างอยู่ มีอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคทำให้แปรงฟันได้ไม่เกลี้ยงเกลาอย่างที่คิด

คนที่มีฟันซ้อนเก เรียงตัวไม่เป็นระเบียบเหมือนเวลาเข้าแถวและมีคนล้ำเส้นออกไป เวลาแปรงฟันขนแปรงจะสัมผัสเฉพาะฟันอยู่แถวหน้าเท่านั้น ส่วนฟันที่อยู่ด้านหลังก็จะไม่ค่อยถูกขนแปรงเลย คราบอาหารที่ค้างอยู่ตามคอฟันก็มีมาก คนที่มีฟันซ้อนเก จึงเกิดโรคเหงือกอักเสบได้ง่าย วิธีแก้ ก็คือจัดฟันหรือถ้ายังไม่พร้อมเวลาแปรงก็ต้องกดขนแปรงให้แนบชิดกับตัวฟันให้มาก ถึงสามารถทำความสะอาดได้อย่างเกลี้ยงเกลา

คนที่มีหุ้มกระดูกงอกมากผิดปกติและมีขนาดใหญ่ ที่ทำให้ขัดขวาง การแปรงฟัน เพราะขนแปรงจะติดบริเวณหุ้มกระดูกนี้ก่อน ก่อนถึงตัวฟัน ถ้าจะแปรงให้เกลี้ยงจริงๆ ต้อง กดขนแปรงให้สัมผัสกับตัวฟันจึงจะต้องใช้แรงกดมากกว่าปกติ

คนที่มีฟันล้มเอียง ก็จะแปรงยากเช่นกัน ต้องกดขนแปรงให้แนบกับฟันจริงๆ จึงจะทำความสะอาดได้ดี

คนที่มีฟันคุดที่โผล่ขึ้นมาบางส่วนแล้วไม่ได้ผ่าเอาออก เศษอาหารจะเข้าไปติดบริเวณฟันคุดและฟันซี่ติดกัน ทำให้ฟันข้างเคียงผุและเกิดอาการเหงือกอักเสบได้ง่าย กรณีแบบนี้ถึงจะพยายามแปรงอย่างไร ก็เอาเศษอาหารออกไม่หมด เห็นมีอยู่ทางเดียวก็ คือ ผ่าเอาฟันคุดออกก่อนครับ

ฟันที่อยู่ลึกมาก ๆ มักจะแปรงไม่ค่อยถึง เพราะบางท่านพอใส่แปรงสีฟันเข้าไปใกล้บริเวณ คอ ก็จะมีอาการอ๊อก ออกมาก็เลยไม่แปรงบริเวณซี่สุดท้าย ช่องว่างระหว่างฟัน แปรงสีฟันไม่สามารถเข้าไปถึงได้ คงต้องใช้ ไหมขัดฟัน ช่วยทำความสะอาด ถึงจะกำจัดเศษอาหารที่ติดค้างได้หมด

ฟันของเราจะมีบริเวณที่ทำความสะอาดได้ง่าย เช่น ด้านบดเคี้ยว ด้านที่ขนแปรงเข้าไปสัมผัสกับผิวหน้าฟันโดยตรง แต่ก็มีบางมุม บางจุดที่แปรงได้ยาก เนื่องจากการเรียงตัวของฟันอวัยวะข้างเคียงที่ขวางอยู่ จึงต้องสำรวจตรวจดูและให้ความเอาใจใส่ในการทำความสะอาดฟันกันเป็นพิเศษ เพื่อลดคราบอาหารเพื่อเพิ่มความมั่นใจคุณอาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ช่วยด้วยอีกทางหนึ่งก็ดีทีเดียว

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สุดยอดอาหารท้องถิ่น..‏!!!!!!


1. ซุปรังนก - ประเทศจีน
สำหรับคนเอเชียอย่างเรา การรับประทานรังนกถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา (ถ้ามีตังค์) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า "รังนกแท้" ถือเป็นอาหารที่หายากและมีราคาแพง ถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็น "คาเวียร์" ของโลกตะวันออกเลยทีเดียว

สาเหตุที่ฝรั่งหรือคนต่างชาติรู้สึกว่ารังนกเป็นอาหารที่แปลกประหลาดสุดๆ เพราะรังนกแท้ได้มาจากน้ำลายของนกนางแอ่นที่สำรอกออกมาแล้วจับตัวแข็งเป็นรูปร่างคล้ายรังนกนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเห็นว่ารังนกเป็นอาหารอันโอชะของหลายประเทศในแถบเอเชีย และมีราคาแพงมากๆ เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าพวกเรากินน้ำลายนกเข้าไปได้ยังไงกัน


2. ตัวบึ้งทอด - ประเทศกัมพูชา

"ตัวบึ้งหรือแมงมุมยักษ์" ที่มีทั้งแบบอบ ย่าง และทอดกระเทียมนี้ ถือเป็นอาหารยอดนิยมของคนกัมพูชา เขาขายกันเป็นล่ำเป็นสันที่ข้างถนนในเมืองสะกุน จ.จำปงจาม จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะชมให้เห็นกับตา และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ส่วนจะซื้อหาและทดลองชิมหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง




3. ปลาปักเป้า - ประเทศญี่ปุ่น

"ปลาปักเป้า" หรือ "ฟุกุ" เป็นได้ทั้งอาหารอันโอชะและยาพิษร้ายในขณะเดียวกัน...

เป็นที่รู้กันว่า "ปลาปักเป้า" ทุกชนิดเป็นปลาที่มีสารพิษ เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,250 เท่าอยู่ในตัว โดยเฉพาะบริเวณหนัง ไข่ เนื้อ ตับ และลำไส้ ดังนั้น การรับประทานพิษปลาปักเป้าเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถึงแก่ความตายได้

ด้วยเหตุนี้ ประเทศญี่ปุ่นจึงออกกฏหมายให้เฉพาะพ่อครัวที่มีใบอนุญาตเท่านั้น ที่สามารถชำแหละเนื้อปลาปักเป้าเพื่อนำมาทำเป็นอาหารได้



4. ไข่บาลุต - ประเทศฟิลิปปินส์

เมนูเด็ดของแดนตากาล็อกประจำวันนี้ คือ ไข่บาลุต ซึ่งก็คือไข่ต้มที่มีตัวอ่อนของเป็ด (หรือไก่) อยู่ภายใน สามารถหาทานได้ทั่วไปตามท้องถนน

ส่วนวิธีรับประทานนั้นก็ไม่ยาก แค่ปอกเปลือกด้านบนออก เหยาะเกลือ น้ำมะนาว พริกไทย และผักชีลงไป (บางคนอาจจะใส่พริกและน้ำส้มสายชู) จากนั้นก็ซดน้ำ (ในไข่) แล้วแกะเปลือกไข่ส่วนที่เหลือออกเพื่อทานไข่แดงและเคี้ยวตัวอ่อนที่กำลังกรุ๊บๆ




5. คาสุ มาร์ซู - เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี

คาสุ มาร์ซู (Casu Marzu) คือ ชีสนมแกะที่ภายในมีรูพรุน อันอุดมไปด้วย "หนอนแมลงวัน" แม้ปัจจุบัน ทางอียูจะกำหนดให้ชีส "คาสุ มาร์ซู" เป็นอาหารที่ผิดกฏหมายและผิดหลักโภชนาการอย่างแรง แต่แฟนพันธุ์แท้ของชีสชนิดนี้ ก็ยังคงซื้อหามารับประทานได้จากตลาดมืดซึ่งเป็นที่รู้กัน

หากแปลตรงตัว "คาสุ มาร์ซู" จะหมายถึง "ชีสเน่า" หรือที่ชาวซาร์ดิเนียนเรียกว่า "ชีสหนอน" นั่นเอง เนื่องจากภายในชีสจะมีหนอนตัวขาวใส ความยาวประมาณ 8 ม.ม. ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก หนอนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งกระบวนการหมักให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ไขมันแตกตัว

กล่าวกันว่าชีสชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มมาก เนื่องจากมีของเหลวแทรกซึมอยู่ในเนื้อชีส แต่จะต้องรีบทานในขณะที่หนอนยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ารอให้หนอนตายก่อน ชีสก้อนนั้นจะถือว่าเป็นอาหารมีพิษทันที

และถ้ายังยี้ไม่พอ ขอบอกว่า...ถ้าใครเอามือไปโดนหรือเอาอะไรเขี่ยหนอนที่อยู่ในชีส พวกมันจะกระโดดใส่ทันที (หนอนพวกนี้สามารถดีดตัวได้สูงถึง 15 ซ.ม.) ซึ่งถ้าหากไม่ระวังล่ะก็อาจกระเด็นเข้าตาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนนำชีสไปล้างก่อนรับประทาน ขณะที่บางคนใช้ถุงพลาสติกปิดคลุมไว้ก่อนเพื่อให้หนอนขาดออกซิเจนและอ่อนแรงก่อนที่จะตายในที่สุด แต่วิธีหลังถือว่าอันตรายเพราะอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษจนต้องหามส่งโรงพยาบาลได้



6. เซอร์สตอร์มมิง - สวีเดน

หนึ่งในอาหารแปลกที่สุดในโลกจานนี้ สามารถซื้อหามารับประทานได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในสวีเดน และเจ้าอาหารแปลกที่ว่านี้ก็คือ “เซอร์สตอร์มมิง” หรือ “ปลาเฮอร์ริงเน่า” นั่นเอง

สำหรับท่านที่ไม่ชอบปลาร้า เวลาได้กลิ่นอาจทำหน้าเหยเกแล้วบ่นว่า "เหม็น" แต่เชื่อหรือไม่ว่าปลาร้า 10 ไหก็ยังชิดซ้ายปลาเน่า “เซอร์สตอร์มมิง” จากสวีเดน เพราะแค่เพียงกระป๋องเดียว ก็อาจทำให้คลื่นเหียนอาเจียนไปทั้งหมู่บ้าน

ส่วนจะเหม็นแค่ไหนนั้น...ลองนึกภาพดูแล้วกันว่าเวลาจะรับประทาน ต้องนั่งทาน "กลางแจ้ง" ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกเท่านั้น

“เซอร์สตอร์มมิง” ผลิตจากปลาเฮอร์ริงในทะเลบอลติกที่ถูกจับขึ้นมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปลาเหล่านี้จะถูกหมักอยู่ในถังราว 1-2 เดือน จากนั้นจึงนำมาบรรจุลงกระป๋องเพื่อหมักต่อ และรอให้ปลาเน่าสนิทอีกราว 6 เดือน จนกระป๋องเริ่มบวมเป่ง (เพราะภายในมีแก๊สที่เกิดจากปลาเน่า) เป็นอันใช้ได้ จากนั้นจึงเริ่มนำออกขายตามท้องตลาด

และเนื่องจากภายในกระป๋องมีแรงดันของแก๊ส จึงมักเกิดเหตุการณ์ “เซอร์สตอร์มมิง” ระเบิด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณขณะขนส่ง หรือระหว่างที่เก็บเอาไว้ในโกดังบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้บรรดาสายการบินจึงระบุว่า “เซอร์สตอร์มมิง” เป็นวัตถุอันตราย และห้ามไม่ให้นำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด

คนสวีเดนมักรับประทานปลาเน่าชนิดนี้กับขนมปังแผ่นใหญ่ (บางๆ) และมันฝรั่งต้ม ขณะที่บางคนนิยมทานร่วมกับนม เบียร์ หรือน้ำเปล่า เพื่อให้ทานง่ายขึ้น




7. ปลาหมึกเป็นๆ - เกาหลีใต้

สำหรับท่านที่เป็นแฟนซีรีย์เกาหลี คงเคยเห็นอาหารจานนี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว...

เมนูนี้มีชื่อว่า "Sannakji" (แถวบ้านเราเรียกว่า "ปลาหมึกสด") วิธีทำก็ง่ายๆ แค่นำปลาหมึกเป็นๆ มาหั่น ราดด้วยน้ำมันงาแล้วเสิร์ฟทันที

ขณะอยู่ในจานหนวดปลาหมึกจะยังคงดิ้นดุ๊กดิ๊ก และดูดติดกับจานหรืออะไรก็ตามที่เข้าไปสัมผัส ดังนั้น เวลารับประทานจึงต้องใช้ความพยายามในการคีบมากเป็นพิเศษ และต้องต่อสู้กับหนวดปลาหมึกเล็กน้อย

แต่ใช่ว่าคีบได้แล้วเรื่องจะจบ เพราะเวลาที่อยู่ในปากปลาหมึกอาจยังคงดูดติดฟัน เพดานปาก และลิ้นของเรา แถมยังดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาเวลาเวลาเคี้ยว จึงต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนลงคอ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเสียฟอร์มเพราะสำลัก หรือ (หนวด) ปลาหมึกติดคอ




8. กาแฟ Kopi Luwak - อินโดนีเซีย

เมื่อไม่นานมานี้ "บีเอสเอ็นนิวส์" เคยนำเสนอเรื่องราวของกาแฟ "Kopi Luwak" ที่ได้ชื่อว่าหายากและมีราคา "แพงที่สุดในโลก" มาแล้วครั้งหนึ่ง

เมล็ดกาแฟชนิดนี้ ได้มาจากระบบขับถ่าย (อึ) ของตัวชะมดชนิดหนึ่งซึ่งชาวอินโดฯ เรียกว่า Luwak สัตว์ชนิดนี้จะกินผลกาแฟสดเข้าไป แล้วขับถ่ายเมล็ดกาแฟออกมา กล่าวกันว่าเมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีกลิ่นหอมและรสชาติดีเป็นพิเศษ

กาแฟ "Kopi Luwak" พบได้บนเกาะสุมาตรา ชวา และสุลาเวสี ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความที่หายากเมล็ดกาแฟชนิดนี้จึงมีราคาขายสูงถึง 100-600 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,400 - 20,400 บาท) ต่อ 1 ปอนด์ (0.45 กก.) เลยทีเดียว


9. หัวใจ (สดๆ) นกพัฟฟิน - ไอซ์แลนด์

ต้องบอกว่า...เมนูนี้ค่อนข้างโหดร้ายและเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ก็ใครจะไปนึกว่าคนไอซ์แลนด์เขาจะใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับนกพัฟฟินมาหักคอ ถลกหนัง แล้วควักหัวใจออกมาทานกันสดๆ ขณะที่เนื้อมักถูกนำไปรมควัน ย่าง ทอด หรือกลายเป็นเมนูอันโอชะตามภัตตาคารหรูต่างๆ

แม้ว่าไอซ์แลนด์ จะเป็นหนึ่งในถิ่นอาศัยของฝูงนกพัฟฟินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผลจากการที่ถูกมนุษย์บุกรุกถิ่นฐาน และไล่ล่าเอาทั้งไข่และเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับนกพัฟฟิน ด้วยวิธี "สกาย ฟิชชิ่ง" หรือใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับนกโชคร้าย ก็ยิ่งทำให้นกดังกล่าวมีปริมาณลดลงอย่างฮวบฮาบ



10. เหล้าดองงู - เวียดนาม

เหล้าดองงู มีต้นกำเนิดที่ประเทศเวียดนาม ต่อมาได้แพร่ขยายไปตามภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของจีน

ถึงแม้ว่างูที่เห็นบรรจุอยู่ในขวดเหล้าจะเป็นงูพิษ แต่การที่งูถูกแช่เหล้าเป็นเวลานานๆ จะทำให้พิษค่อยๆ เจือจางและถูกทำลายไปในที่สุด จึงสามารถดื่มได้โดยไม่เป็นอันตราย

กล่าวกันว่า เหล้าดองงูมีสรรพคุณทางยา แต่นักท่องเที่ยวหลายรายต่างเลือกที่จะซื้อไปตั้งโชว์ที่บ้าน มากกว่าซื้อไปโด้ป!

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

La Joconde



โมนาลิซา (อังกฤษ: Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (ฝรั่งเศส: La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507) เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์(Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


คำว่า'โมนาลิซา" นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดย จอร์โจ วาซารี (Giorgio Vasari) ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซา เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรานเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo)
คำว่า โมนา" (Mona) ใน
ภาษาอิตาลีนั้นก็คือคำว่า มาดอนนา (madonna) คุณผู้หญิง (my lady) หรือ มาดาม (Madam) ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ "มาดาม ลิซา" แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซา (Monna Lisa)

ภาพโมนาลิซ่านี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2046 ถึง พ.ศ. 2050 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาด
ในปี ค.ศ. 1516
ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เอกือ ในปี ค.ศ. 1519 ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 63 ปี

ใบหน้าของมาดามลิซ่า ตอนนที่ ดา วินชี เสียชีวิตแล้วได้ยกสมบัติและภาพวาดทั้งหมดให้เป็นมรดกของผู้ติดตามของเขา ฟรานเซสโก เมลซิ (Francesco melci) และเมื่อฟรานเซสโก เมลซิ เสียชีวิตลงก็ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร มรดกก็เริ่มกระจัดกระจาย
และต่อมาภาพโมนาลิซ่าถูกนำไปเก็บไว้ที่
พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม

ห้องแสดงในพิพิธภัณฑ์
ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-
ปรัสเซีย ระหว่างปี พ.ศ. 2413 - 2414 ภาพได้ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อวันที่
21 สิงหาคม พ.ศ. 2454 ภาพโมนาลิซ่าถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี ซึ่งได้พบในเมืองฟรอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ปัจจุบันเธอถูกดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อันเป็นเครื่องหมายสากลว่า โมนา ลิซา จะไม่มีวันที่จะได้เคลื่อนย้ายไปแสดงที่ไหนอีกเป็นเด็ดขาด




ห้องแสดงในพิพิธภัณฑ์

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถ้ำสวยสุดยอดในโลก

Phong Nha Cave (ถ้ำใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในเวียดนาม)



Cave of the Crystals (Chihuahua, Mexico)





Waitomo Glowworm Cave (North Island of New Zealand)



Ali Sadr Cave, Hamadan Iran (north of Hamadan, western Iran)






Velebit caves of Croatia





Crystal Cave (Sequoia National Park, in the U.S. state of California)



Yellow Dragon Cave (Xixialing in West Lake tourist zone in Hangzhou City)



Lechuguilla Cave (Carlsbad Caverns National Park, New Mexico)



Eisriesenwelt Cave (ice cave located in Werfen, Austria)





ถ้ำมรกต (THAILAND) ^^เพิ่มรูปภาพ











วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันตรุษจีน

เทศกาล ตรุษจีน

“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้
ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ”
ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย

นับ เป็นประเพณีนิยม ในวันตรุษจีน ที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชนชาติจีนแผ่นดินใหญ่และพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน นั่นแสดงว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะมีงานรื่นเริง การสวมใสเสื้อสีแดงสด อันเป็นสีที่เป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวจีน อาจจะบอกดว่าเป็นวันครอบครัว ที่ จะได้พบปะสังสรรค์ กินเลี้ยงอย่างมีความสุข …อันเป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยการให้ทาน การทำบุญทำกุศล หรือแม้กระทั่งที่วัดจีนประชาสโมสร ก็มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทำทานในวันขึ้นปีใหม่ นำมาซึ่งความปิติ-มีความสุขเปี่ยมล้น มีผลทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ทำงาน-ค้าขายให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป….
เทศกาลจีนมีอยู่มากมาย ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียนสถาบันการศึกษาต่างปิดเทอมในช่วงนี้ เป็นปิดเรียนฤดูหนาว ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่ไม่สามารถหยุดงานได้ หน่วยงานห้างร้านต่างก็หยุดงาน 3-4 วัน เมื่อใกล้วันปีใหม่จีน ผู้คนต่างก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ ภายในครอบครัว ทุกบ้านก็จะทำความสะอาดบ้านเรือน ผ่านปีใหม่อย่างสะอาดสะอ้านสดใส ร้านค้าห้างสรรพสินค้าต่างก็เติมไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพร ในตลาดก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน ต่างเดินไปเดินมากันขวักไขว่ ซื้อปลาบ้าง ซื้อเนื้อสัตว์บ้าง ซื้อเป็ดไก่บ้าง ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุข ช่วงเทศกาลปีใหม่ เด็กๆต่างมีความสุขมาก ต่างสวมเสื้อใหม่ ทานลูกกวาดขนมหวาน เล่นพลุประทัดอย่างรื่นเริง

คืนก่อนวันปีใหม่ คือวันสุดท้ายของปีนั่นเองเป็นคืนที่ครึกครื้นที่สุด ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ตอนกินอาหารมื้อค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะอาหาร ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กัน ทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ) คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่

ประวัติวันตรุษจีน หรือปีใหม่จีน
ประวัติ ของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเองตรุษ จีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น


วัน ก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมาก ที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้าย ให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง

เมื่อ ถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า“Let bygones be bygones” (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ใน วันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน.


อาหารไหว้เจ้า
ใน วันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความ หมายที่เป็น มงคลในตัวของมัน

เม็ดบัว – มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
เกาลัด – มีความหมายถึง เงิน

สาหร่ายดำ – คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง – คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
หน่อไม้ – คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่ง เป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์


อาหาร อื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาว


ทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน

ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน
ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความ หมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่
หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน
การแต่งกายและความสะอาด ใน วันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี
วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับ คนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล
บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้าย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก
ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุก วันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคง ยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน.



10 กิจที่ต้องทำ วันตรุษจีน
คนส่วนมากรู้จัก “ตรุษจีน”ว่าเป็นวันรับ “อั่งเปา” แต่จริงๆ แล้วตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่จีน คนจีนก็มีกิจกรรมคล้ายๆ กับคนไทยกระทำในวันปีใหม่ คือเป็นวันพบปะญาติมิตร ไหว้พระ อวยพรผู้ใหญ่ ส่วนอั่งเปานั้นเป็นเพียงน้ำจิ้มเล็กๆ ที่สร้างความสุขความตื่นเต้นให้กับเด็กน้อย
ผู้เฒ่าแซ่เอี้ย วัย 71 ปี เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า ตรุษจีนคือ “วันชิวอิก” วันแรกของปี จะเริ่มต้นเมื่อหลังเที่ยงคืนของ “วันซาจั๊บ” ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปี เรียกอีกอย่างว่า “วันถือ” เพราะถือเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ทุกคนจะพูดแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นมงคล
ทั้งนี้ กิจที่คนจีนจะต้องกระทำในเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่ “วันจ่าย” ซึ่งเป็นวันจ่ายตลาดเตรียมข้าวของสำหรับไหว้ในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งเป็นวันจ่ายโบนัสให้ลูกจ้าง
1.ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติวันซาจั๊บ ช่วงเช้าหลังจากไหว้เจ้าในบ้าน คือ “ตีจูเอี๊ย” ไหว้บรรพบุรุษแล้ว ในตอนเที่ยงจึงไหว้ผีไม่มีญาติ ซึ่งของไหว้จะมีทั้งของคาว-หวาน รวมทั้งเป็ด-ไก่ มากหรือน้อยแล้วแต่ฐานะของผู้ไหว้ และมีเครื่องกระป๋อง ข้าวสาร เกลือ เพื่อให้ผีไม่มีญาติพกไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องจุดขี้ไต้ 2 ชิ้นไว้ด้วย เมื่อไหว้เสร็จจะจุดประทัด จากนั้นจะโปรยข้าวสารผสมเกลือ ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป
2.รวมญาติกินเกี๊ยวความสำคัญอีกประการของตรุษจีน คือเป็นวัน รวมญาติ โดยทุกคนจะเดินทางมาร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวในวันซาจั๊บมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ และที่ต้องเป็น “เกี๊ยว” ก็เพราะลักษณะของเกี๊ยวที่เหมือนกับ “เงิน” ของจีน ให้ความหมายว่า ให้มั่งมีเงินทอง
3.กินเจมื้อเช้า คือมื้อแรกของปีส่วนในวันชิวอิก คนจีนจะกินเจมื้อแรกของปี เชื่อกันว่าจะได้บุญเหมือนกับกินเจตลอดทั้งปี
4.ทำพิธีรับ “ไช่ซิงเอี้ย”“ไช่ซิงเอี้ย” เป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ส่วนใหญ่จะทำพิธีระหว่างหลังเที่ยงคืนของวันซาจั๊บจนถึงก่อนตี 1
5.ห้ามกวาดบ้านก่อนตรุษจีน จะมีการทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดหยากไย่ครั้งใหญ่ เมื่อถึงวันปีใหม่จะไม่กวาดบ้านจนถึงวันชิวสี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวันแรกของการเริ่มต้นทำงาน เพราะถือว่าจะกวาดเอาสิ่งที่เป็นมงคลทิ้งไป แต่ถ้าบ้านใครสกปรกจนทนไม่ไหว ก็จะกวาดเข้าคือ กวาดจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้าน
6. ติด “ตุ๊ยเลี้ยง” หรือคำอวยพรปีใหม่เมื่อก่อนคนจีนที่พอมีความรู้จะเขียน “ตุ๊ยเลี้ยง” เอง โดยใช้หมึกดำหรือสีทองเขียนคำอวยพรลงบนกระดาษสีแดง ถ้าไม่มีความรู้ก็จะไปจ้างมืออาชีพเขียนให้ ซึ่งแหล่งใหญ่ก็คือที่เยาวราช
คำอวยพรที่เขียนจะประกอบด้วยตัวอักษร 7 ตัว เขียนเป็นคำกลอน โดยมากจะอวยพรให้ทำมาค้าขึ้น ให้มั่งมีเงินทอง ติดตามสองข้างประตูบ้าน และมีอีกแผ่นสำหรับติดทางขวางตรงกลางทางเข้า-ออก เขียนคำว่า “ชุก ยิบ เผ่ง อัง” แปลว่า เข้า-ออกโดยปลอดภัย รวมทั้งติดภาพเด็กผู้หญิง-เด็กผู้ชาย ที่เรียกว่า “หนี่อ่วย” ซึ่งเป็นภาพมงคลของจีน ถือเป็นงานศิลปะที่สำคัญอีกอย่างนอกเหนือจากการตัดกระดาษ มักติดที่ประตูหน้าบ้าน
7.ใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใส
8.ส้ม 4 ผล อวยพรผู้ใหญ่วันชิวอิกทุกคนจะนำส้ม 4 ผล ไปกราบผู้ใหญ่ขอพร เจ้าบ้านเองนอกจากจะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้ 1 พาน และลูกสมอจีนไว้รับแขกแล้ว เมื่อมีผู้มาอวยพร จะรับส้มขึ้นมา 2 ผล และนำส้มในบ้านที่เตรียมไว้วางคืนลง 2 ผล
9.รับอั่งเปา
10.ไหว้เจ้าเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

ขงจื้อ - ถ้ามีคนสองคนเดินผ่านมาทุกเรื่องราวสามารถสอนข้าพเจ้าได้ สำหรับคนดีข้าพเจ้าจะเอาอย่างเขา สำหรับคนเลวข้าพเจ้าจะไม่เอาอย่างเขา


มหาตมะ คานธี- จงเป็นคนที่ผลักดันให้โลกเปลี่ยน ในแบบที่คุณอยากเห็นมันเปลี่ยน


เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล- ถ้าเรามัวทะเลาะด้วยเรื่องเมื่อวานนี้ เราจะสูญเสียวันพรุ่งนี้




ลีโอนาโด ดาวินชี- ทำไมในยามฝัน เราจึงเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อนึกจินตนาการในยามตื่น



กาลิเลโอ กาลิเลอี - ปรัชญาที่เขียนในหนังสือเล่มใหญ่ซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าเราตลอดเวลา ข้าพเจ้าหมายถึงจักรวาล ทว่า เราไม่สามารถเข้าใจมันถ้าเราไม่เรียนภาษาเสียก่อนและจับความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้เขียน



ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน (นักเขียนและนักปรัชญาชาวอเมริกัน)- สิ่งที่สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษา


เบนจามิน แฟรงคลิน- เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าววาจาผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจไปตลอดชั่วชีวิต



อัลเบิร์ต ไอสไตน์- ระหว่างผู้ที่มีความรู้มีการศึกษามากที่สุด กับ ผู้ที่มีความรู้มีการศึกษาน้อยที่สุด มีความแตกต่างในระดับเล็กน้อยที่ไม่อาจเอ่ยอ้างถึงได้ เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆที่เรายังไม่รู้

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

"รู้ไว้ใช่ว่า" สัปดาห์นี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ ในการดูแลรักษากล้องในช่วงหน้าฝน ที่จะทำให้บรรดานักถ่ายภาพทั้งหลายเลิกกังวลเกินเหตุ จนต้องเก็บกล้องเอาไว้ซะมิดชิด ประหนึ่งว่า นำกล้องเข้าพรรษาไปด้วย
สำหรับการดูแลรักษา เริ่มตั้งแต่ ...


1. อย่าให้กล้องเปียกน้ำ : ข้อนี้นักถ่ายภาพทั่วไปทั้งมือใหม่และมือสมัครเล่น น่าจะเข้าใจดี และหาทางเลี่ยงกันอยู่แล้ว แต่เมื่อจำเป็นต้องถ่ายภาพในช่วงหน้าฝน วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยป้องกันกล้องสุดรักสุดหวงได้ในเบื้องต้น คือ การหาซื้อถุงหรือซองพลาสติกกันน้ำมาใส่ไว้ (มีจำหน่ายตามร้านขายอุปกรณ์ถ่ายภาพทั่วไป) ซึ่งมีหลายราคาให้เลือก แต่ส่วนมากจะใส่ได้เฉพาะกล้องดิจิตอลแบบคอมแพคเท่านั้น หากเป็นกล้องดิจิตอลแบบ SLR ถ้างบน้อยอาจต้องใช้ถุงพลาสติกทั่วไปมาประยุกต์ใช้ ห่อหุ้มคลุมให้ทั่วทั้งตัวกล้อง แต่ควรเว้นพื้นที่หน้าเลนส์ เอาไว้สักนิด แต่หากมีงบมากหน่อย แนะนำให้ซื้อเคสกันน้ำ ที่สามารถช่วยป้องกันน้ำฝนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์มาก หากคุณเป็นผู้ที่อยากจะลองถ่ายภาพใต้น้ำสักครั้ง



2. พกผ้าขนหนูผืนเล็กติดกระเป๋า : เพื่อใช้ทำความสะอาดหรือเช็ดหยดน้ำที่อาจบังเอิญกระเด็นมาถูกกล้องและเลนส์



3. เลือกใช้กระเป๋ากล้องแบบกันน้ำ : กระเป๋ากล้องรุ่นใหม่หลายรุ่น ผลิตด้วยผ้ากันน้ำ หรือเคลือบตัวกระเป๋าด้วยสารพิเศษกันน้ำ แต่ถ้าจะให้ดีและปลอดภัยมากขึ้น ควรเลือกกระเป๋าที่ประกอบด้วยซิปกันน้ำ และมีถุงกันน้ำสำหรับสวมทับ เพื่อให้อุ่นใจมากขึ้น



4. ทำความสะอาดหลังใช้งาน : จำเป็นมากทีเดียวหลังการใช้กล้องทุกครั้งทั้งในช่วงฤดูฝนหรือไม่ใช่ก็ตาม ควรทำความสะอาดทั้งตัวกล้องและเลนส์ให้ทั่ว อย่าให้มีหยดน้ำ ละอองน้ำ หรือฝุ่นหลงเหลืออยู่ แต่อาจมีข้อแตกต่างกันตรงที่ว่า หลังการใช้กล้องในช่วงฝนตก เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ควรวางกล้องไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท อย่าเพิ่งเก็บกล้องลงกระเป๋า เนื่องจากกระเป๋ากล้องเป็นแหล่งอับชื้น อาจทำให้มีเชื้อรามาเยือนอุปกรณ์ถ่ายภาพสุดรักของคุณก็ได้



แต่หากว่า กระเป๋ากล้องโดนน้ำฝนจนเปียก ให้รีบนำกล้องและอุปกรณ์ออกจากกระเป๋าให้หมด จากนั้นนำกระเป๋าไปผึ่งลมหรือตากแดดให้แห้งสนิท ไม่ควรนำกระเป๋าไปซักในเครื่องซักผ้า เนื่องจากจะทำให้กระเป๋าเสียทรง และวัสดุกันน้ำที่บุไว้อาจเสียหายได้


วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

10 อันดับวัดที่สวยที่สุดในโลก


อันดับ10 Ankor Wat : the largest temple in historyปราสาทนครวัด (Angkor Wat) เป็นเทวสถานฮินดูลัทธิไวษณพนิกายที่นับถือพระวิษณุเป็นเทพเจ้าสูงสุด สร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เมื่อช่วงครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 12 เพื่ออุทิศถวายแด่องค์พระวิษณุที่พระองค์เชื่อว่า เป็นร่างของพระองค์เองในขณะที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ศาสนสถานแห่งนี้ ก็จะเป็นพระราชสุสานที่พระองค์จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระวิษณุ



อันดับ 9 The Temple of Srirangam ( Sri Ranganathaswamy Temple)วัดนี้อยู่ในประเทศอินเดีย เมือง Tiruchirapalli หรือ Trichy เป็นวัดของศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในโลก




อันดับ 8 The Harmandir Sahib : the Golden Temple in Punjabวิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ หรือ วิหารทองคำ เป็นวิหารที่สำคัญที่สุดในศาสนาซิก ตั้งอยู่ที่เมืองอัมริตสาร์ เมืองหลวงของแคว้นปัญจาบ ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย




อันดับ 7 Borobudur, Indonesiaบุโรพุทโธ ( Borobudur ) พุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8-9 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร ตั้งอยู่บนเนินสูงของเกาะชวาภาคกลาง ห่างจากเมืองยอกยากาตาร์ ( Yogyakata ) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร ถือเป็นโบราณสถาานขนาดใหญ่ และเป็นศูนย์รวมแห่งความภาคภูมิใจของชาวอินโดนิเซีย และชาวพุทธทุกคน ซึ่งหวังจะไปแสวงบุญสักครั้งในชีวิตเจดีย์บุโรพุทโธรูปทรงดอกบัวนี้ก่อสร้างตามแบบศิลปะฮินดู-ชวา หรือศิลปะชวาภาคกลางที่ผสมผสาานระหว่างอินเดียและอินโดนีเซียได้อย่างกลมกลืนที่สุด บุโรพุทโธเปรียบเป็นศูนย์กลางของจักรวาล





อันดับ 6 Chion-in Temple : Kyoto, Japanวัดจิออนอิน (Chion-intemple) พื้นที่ของวัดนั้ใหญ่โตอลังการ แทรกตัวอยู่ในเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นมาก วัดนี้สร้างในปี ค.ศ. 1234 เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกายโจโด เป็นนักบวช ชื่อว่า Honen




อันดับ 5 Temple of Heaven : a Taoist temple in Beijingหอฟ้าเทียนถานเป็นสถานบวงสรวงเทพยดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งยังคงรักษาไว้ในจีน ประกอบด้วยตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่ และลานหยวนชิว เป็นต้น เทียนถานตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง มีเนื้อที่ทั้งหมด ๒๗๓ เฮกต้าร์ เป็นสถานซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา ในระยะย่างเข้าฤดูหนาวถึงเดือนอ้ายตามจันทรคติทุกปี พระจักรพรรดิจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงที่นั่นเพื่อให้การเก็บเกี่ยวได้ผลอุดม



อันดับ 4 The Shwedagon Paya (or Pagoda), Myanmarพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้นตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อง 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 สร้างโดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีสองพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ามา พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 รัชสมัยพระเจ้าพินยาอู ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมมาเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตรในปัจจุบันบนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด โดยเฉพาะชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 72 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด




อันดับ 3 rambanan : Hindu temple, Indonesiaวัดฮินดูพรัมบานัน : Prambanan Templeพรัมบานันเป็นวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียหรือจะเรียกว่าใหญ่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์เลยก็ได้ ตั้งอยู่ที่เมืองพรัมบานัน ตอนกลางของเกาะชวา และอยู่ไม่ไกลจากยอกยากาตาร์มากนักวัดถูกสร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1340 โดยสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ Rakai Pikatan จากราชวงศ์ Mataram ที่ 2 หรืออาจะสร้างในสมัยกษัตริย์ Balitung Maha Samba จากราชวงศ์ Sanjaya ได้รับความเสียหายมากในช่วงปี 2006 เพราะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่นี่



อันดับ 2 Wat Rong Khun in Chiang Raiวัดร่องขุน (Wat Rong Khun) ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540 จากเดิมมีเนื้อที่ 3 ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือคุณวันชัย วิชญชาคร จนปัจจุบันมีเนื้อที่ 9 ไร่



อันดับ 1 Tiger's Nest Monastery, Phutanถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุด ของภูฏาน ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 700 เมตรจากพื้นล่างในหุบเขาปาโร และด้วยระดับความสูง 3,120 เมตร จากระดับน้ำทะเล ฉายาว่า “รังเสือ” ของวัดนี้ ได้มาจากตำนานเก่า ที่เล่าว่า พระรินโปเช (Padmasambhava - Guru Rinpoche) ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่นิกายมหายานในภูฐาน ได้เหาะมาที่นี่บนหลังเสือ และได้เข้าไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำ เป็นเวลาถึง 3 เดือน หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2227 จึงเริ่มมีการสร้างวัดขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งก็จริง แต่ก็ควรตระหนักถึงอันตรายของเครื่องสำอางด้วยอย่างเช่น "ยาทาเล็บ" เป็นต้น ฐิตินันท์ ศรีสถิต แห่งคอลัมน์ "โลกสรรพสินค้า" นิตยสาร "สารคดี" ฉบับล่าสุด มีคำเตือนฝากหญิงสาวลองอ่าน
* สัญญาณเบื้องต้นที่บ่งบอกความเป็นอันตรายของยาทาเล็บ คือกลิ่นเหม็นรุนแรงที่โชยออกมาเมื่อเปิดฝา อันเกิดจากการผสมกันของแอลกอฮอล์ โซลเวนต์หรือสารอินทรีย์ระเหยที่ใช้เป็นตัวทำละลายซึ่งช่วยให้ยาทาเล็บแห้งเร็ว และเรซิ่นที่ทำให้สีของยาทาเล็บติดทนทาน ไม่ลอกล่อนโดยง่าย

* มีสารพิษ 3 ชนิดปะปนอยู่ในยาทาเล็บทั่วไป คือ ไดบิวทิล พทาเลต สารประกอบไทลูอิน และฟอร์มาลดีไฮด์


* ไดบิวทิล พทาเลต เป็นปัจจัยเพิ่มอัตราการเป็นหมันในหญิงและชาย ในระยะยาวจะส่งผลต่อไตและตับ


* ไทลูอิน ไม่เพียงรบกวนการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ แต่ยังสร้างความระคายเคืองผิวหนังและส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เหนื่อย สับสน และสูญเสียความทรงจำ หากสูดดมมากๆ จะมีอาการหน้ามืด ตาลาย ปวดศีรษะ


* ฟอร์มาลดีไฮด์ หากสัมผัสกับผิวหนังจะปรากฏเป็นผื่นแพ้และคัน หากสูดดมเข้าไปในระยะสั้นจะสร้างความระคายเคืองในลำคอและไอ ในระยะยาวทำให้เป็นมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ


* สีในยาทาเล็บส่วนใหญ่เป็นสีสังเคราะห์ ส่วนยาทาเล็บที่ผลิตด้วยสีธรรมชาติก็จำเป็นต้องเติมแร่ไมกาเพื่อเพิ่มประกายแวววาว สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ การทำเหมืองไมกามีการใช้แรงงานเด็กและผู้หญิง


* นอกจากยาทาเล็บแล้ว น้ำยาล้างเล็บก็อันตรายไม่เบา ยิ่งทาเล็บติดทนนานเพียงใด ยิ่งต้องใช้น้ำยาที่ผสมด้วยตัวทำละลายเข้มข้นสูง จึงมีฤทธิ์มากพอจะล้างสีออกจากเล็บได้ง่ายดาย


* น้ำยาล้างเล็บส่วนใหญ่มีส่วนผสมสารเคมี 2 ชนิด คือ อะซิโตน และเอทิลอะซิเตต ซึ่งต่างก็สร้างความระคายเคืองแก่ดวงตาและระบบทางเดินหายใจ ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้ผิวหนังแห้งและลดทอนความแข็งแรงของเล็บอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

20 เรื่องเหลือเชื่อ ที่คุณควรรู้ รู้ไว้ไม่เปลืองสมอง......



1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก

2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร

3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง

4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน

5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก

6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน

7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง

8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า

9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย

10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์

11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทั่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต

12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร

13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต

14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน

15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน

16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี

17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์

18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน

19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน

20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่