วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

16 เรื่องจริงเกี่ยวกับเกาหลี (ที่คุณอาจไม่รู้)


1. บนรถไฟใต้ดินที่เกาหลี จะมีคนเอาของขึ้นมาขายบ่อยๆ แล้วจะพูดขายของเสียงดังมาก โดยส่วนมากจะลากใส่รถเข็นขึ้นมา ที่เห็นบ่อยๆ ก็เช่น ถุงใส่ผ้า ยาขัดรองเท้า ถุงเท้า


2. บนรถไฟใต้ดินจะมีที่นั่งของคนชรา คนท้อง และคนพิการแยกอยู่ ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่ควรนั่งเด็ดขาดไม่งั้นจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ

3. คนเกาหลีจะนิยมส่งเมสเสจหากันมากกว่าโทรไปหาโดยตรง และคนเกาหลีตัวจริงจะกดแป้นโทรศัพท์กันไวมาก โดยปีล่าสุดคนเกาหลีใต้เคยไปแข่งกดส่ง sms และได้รางวัลที่ 1 ระดับโลก



4. ที่ว่าคนเกาหลีกินหมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทุกคน หาได้ง่ายตามต่างจังหวัด ส่วนเมืองหลวง (กรุงโซล) อาจหายากหน่อยแต่ก็ไม่ยากเกินไป นอกจากหมาแล้ว แมวก็กินด้วย

5. ประเทศไทย นักศึกษาบางคนจะใส่ชุดนักศึกษาตัว เล็กจนรัด แต่ที่เกาหลี นักเรียนบางคนจะใส่ชุดนักเรียนตัว เล็กจนรัดมาก (แต่ส่วนมากจะใส่เสื้อทับนะ)


6. และชุดนักเรียนเกาหลีราคาแพงมากกกกกกกกกก ชุดนึงตกประมาณ 7-8 พันบาทจนไปถึงเป็นหมื่นบาท

7. เด็กนักเรียนเกาหลีแทบทุกคนต้องเรียนพิเศษ การ เรียนพิเศษเลิก 4 ทุ่มทุกวัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงสอบ ปลายภาคอาจมีคอร์สพิเศษเปิดสอนถึงตี 2 โดยเฉพาะวิชา เลขเป็นวิชาที่เด็กเกาหลีทุ่มเทมากๆๆ

8. พ่อแม่คนเกาหลีจำนวนมากยอมย้ายบ้านเพื่อมาส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่อยู่ต่างเมืองเช่น บ้านอยู่ปูซาน แต่จะส่งลูกเข้าเรียนในกรุงโซล ก็จะพากันย้ายมาอยู่โซลกันทั้งครอบครัว โดยส่วนมากจะเป็นช่วงมัธยมต้นและปลายของลูก


9. หน้างานคอนเสิร์ตทุกงาน จะมีลุงหรือป้าแก่ๆ มาขายแท่งไฟ ขายป้ายชื่อ ขายกล้องส่องทางไกลและสินค้าอื่นๆ ของศิลปิน ถ้าเป็นหน้าหนาว ลุงหรือป้าคนนั้นจะเปลี่ยนอาชีพมาเดินขายผ้าห่มหน้าคอนเสิร์ตนั้นๆ แทนขนมต๊อก

10. คนเกาหลีไม่ได้ศัลยกรรมทุกคน อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่การ ศัลยกรรมที่นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา คนจึงทำกันเยอะ อย่าไปเรียก ประเทศเค้าว่าเป็นประเทศคนหน้าพลาสติก


11. เวลาคนเกาหลีไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนทั่วไปไปกิน เหล้า ส่วนมากหลังจากเปิดขวด จะใช้แก้วใบเดียวรินเหล้าแล้วค่อยๆ ดื่มทีละคน แล้ววนกันไปจนครบทุกคนก่อน 1 รอบโดยใช้แก้วใบ เดียวกัน หลังจากนั้นค่อยต่างคนต่างดื่ม แก้วใครแก้วมัน

12. เวลาย้ายบ้าน คนที่ย้ายไปใหม่จะต้องเอาขนมต๊อกไปมอบ ให้แก่เพื่อนบ้าน ถือเป็นการทำความรู้จักและผูกมิตรในขั้นต้น


13. เวลาซื้อของกินตามแผงข้างทางแล้วยืนกินตรงแผงนั้น ควร จะกินให้หมดเลย เพราะป้าเจ้าของร้านบางร้านจะเอาของที่กินไม่ หมด เอาลงไปผัดในกะทะแล้วขายต่อ


14. ในเกาหลี ผู้ชายสามารถบ้าดาราได้อย่างเปิดเผยและออกรสออกชาติมาก เวลาไปดูคอนเสิร์ตจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเจอแฟนคลับกลุ่มผู้ชายตะโกนโหวกเหวกยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก

15. วันสอบเอนทรานซ์ของเด็กเกาหลี (เรียกว่าซูนึง) เป็นวันที่ถือว่าสำคัญมากๆๆ อาจารย์ผู้หญิงห้ามใส่รองเท้าส้นสูงเพราะถือว่าเดินแล้วเสียงดังจะทำลายสมาธิเด็ก คนทำงานอนุญาตให้เข้างานสายได้กว่าปกติ เพราะต้องออกจากบ้านช้า เนื่องจากให้นักเรียนรีบออกไปสอบก่อน รวมถึงในคาบสอบการฟัง สายการบินต่างๆ จะงดเที่ยวบินในช่วงเวลานั้น เนื่องจากเกรงว่าเสียงเครื่องบินจะรบกวนการทำข้อสอบ

16. มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีคือ มหาวิทยาลัยโซล มหาวิทยาลัยโคเรีย และมหาวิทยาลัยยอนเซ คนเกาหลีเรียกรวมกันว่า SKY โดยมาจากตัวอักษรตัวแรกของแต่ละมหาวิทยาลัย


วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

กีวีนิวซีแลนด์ ผลไม้ของคนทั้งโลก

ผลไม้มีชื่อแห่งนิวซีแลนด์ ตามรอยการพัฒนาคุณภาพ 'กีวี' จนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก

รูปทรง กลิ่น และรสชาติ ทำให้ผลไม้แต่ละชนิด มีเสน่ห์น่าชิมต่างกันไป กีวี (Kiwi) ก็เช่นกัน หลายคนรู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อได้ลิ้มรสชาติหวานอมเปรี้ยวของเนื้อกีวีที่ฉ่ำสด บางคนชอบเนื้อกีวีที่มีสีเขียวเข้มสวยสะดุดตาราวเนื้อหยก กีวีมีปลูกด้วยกันในหลายประเทศ แต่ที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักผลไม้ชนิดนี้ในนามกีวี คงต้องย้อนกลับไปที่ประเทศนิวซีแลนด์


ความเป็นมาของกีวี
เรื่องราวของกีวีเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวหนึ่งร้อยปีกว่ามาแล้วเมื่อมิสชันนารีชาวนิวซีแลนด์คณะหนึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศจีน ในการเดินทางกลับมาครั้งนั้นพวกเขานำผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า ไชนิส กูสเบอร์รี (Chinese gooseberries) กลับมาด้วย และปลูกลงบนผืนดินของนิวซีแลนด์ครั้งแรกในปีพ.ศ.2407

หลังจากปลูกลงบนผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ของนิวซีแลนด์ ด้วยดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกพืช ผลไม้ชนิดนี้ก็มีรสชาติดีขึ้น ชาวนิวซีแลนด์กิน 'ไชนิส กูสเบอร์รี' กันมาเรื่อยจนถึงปี พ.ศ.2502 พวกเขาจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อใหม่ให้ผลไม้ชนิดนี้ว่า กีวี่ฟรุต (Kiwifruit) ตามชื่อนกกีวีที่เป็นนกสัญลักษณ์ของประเทศ และเพื่อบ่งบอกว่านี่คือผลไม้ที่ส่งออกไปจากนิวซีแลนด์ เพราะในปี พ.ศ.2495 เริ่มมีผู้ปลูกกีวีในนิวซีแลนด์ส่งกีวีไปจำหน่ายยังสหราชอาณาจักรเป็นครั้งแรกแต่ยังส่งไปในนาม 'ไชนีส กูสเบอร์รี'
ปัจจุบัน นิวซีแลนด์พัฒนาคุณภาพกีวีจนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก สามารถส่งออกกีวีไปยังผู้บริโภคใน 70 ประเทศ เฉพาะยุโรปทวีปเดียวก็ทำสถิติขายได้ปีละ 1.5 ล้านล้านผล รวมทั้งส่งกีวีมาจำหน่ายยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย
ปี พ.ศ.2551 นิวซีแลนด์มีส่วนแบ่งทางการตลาดของการบริโภคกีวีในประเทศญี่ปุ่น 16%, เกาหลีใต้ 8%, จีนและฮ่องกง 6%, ไต้หวัน 5% และสหรัฐอเมริกา 4%
แต่กว่าที่นิวซีแลนด์จะประสบความสำเร็จในการส่งออก 'กีวี' ไปทำตลาดในต่างประเทศได้มากขนาดนี้ เกษตรกรผู้ปลูกกีวีในนิวซีแลนด์ก็เคยประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเกษตรกรไทย


ผลไม้แห่งสารอาหารเพื่อสุขภาพ


นอกจากกระบวนการปลูกที่ปลอดสารพิษและไร้สารเคมี กีวีโดยตัวเองก็เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมายที่มีประโยชน์สำหรับคนทุกเพศทุกวัย มีข้อมูลและรายงานการวิจัยมากมายที่สนับสนุนคุณค่าของกีวีและการบริโภคกีวี ลิลลี่ ดรัมมอนด์ Food Science Advisor ที่ พลานท์ แอนด์ ฟู้ด รีเสิร์จ บรรยายว่า ในกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย (ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราบริโภคอาหาร) จะเกิดอนุมูลอิสระที่เรียกว่า 'ออกซิแดนท์' ซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมต่อเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย (ทำลาย DNA) เมื่อเซลล์เสื่อมก็ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานอื่นๆ ของร่างกายและเป็นสาเหตุให้เกิดโรคไม่พึงประสงค์ต่างๆ ขั้นต้นก็ผิวพรรณร่วงโรยไม่สดใส ร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่า เกิดการอักเสบต่างๆ ไปจนถึงโรคหนักๆ อย่าง โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และมะเร็ง แต่กีวีได้ผ่านการวิจัยแล้วว่าเป็นผลไม้ที่มี วิตามินซี และ วิตามินอี ในสัดส่วนสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองชนิดนี้เป็นสาร แอนตี้ออกซิแดนท์ (ตัวต้านออกซิแดนท์) ที่ทรงประสิทธิภาพมาก


# กีวี 100 กรัม ให้วิตามินซีสูงถึง 167% ของ RDA (Recommended Daily Allowance) ให้วิตามินซีมากกว่าการบริโภคแอปเปิล ส้ม กล้วย แครนเบอร์รี องุ่น ลูกแพร์ ทับทิม ในปริมาณที่เท่ากัน


# วิตามินอีในกีวีเป็นวิตามินอีที่อยู่ในแหล่งอาหารที่ปราศจากไขมัน จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ในตัว ซึ่งหมายถึงการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจด้วย


นอกจากวิตามินสองชนิดนี้ กีวียังเป็นแหล่งสารอาหารอีกมากมาย เช่น


# โปตัสเซียม (331 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหัวใจวาย โปตัสเซียมช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูงได้ ผู้มีอายุต้องการโปตัสเซียมช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเส้นใยประสาท กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีโปตัสเซียมสูง แต่กล้วยหอม 100 กรัม ให้พลังงานสูงกว่ากีวีถึง 2 เท่า สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำคงเผาผลาญพลังงานไปได้ แต่สำหรับคนที่ขาดการออกกำลังกาย พลังงานส่วนเกินที่ได้รับมีผลต่อน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้น


# ไฟเบอร์ (3.4 กรัม/กีวี 100 กรัม) ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างสุขภาพดีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 38 ราย กลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารตามปกติ อีกกลุ่มรับประทานอาหารตามปกติเช่นกันและกินกีวีด้วยอัตรากีวี 1 ผล/น้ำหนักตัว 30 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่กินกีวีด้วยนั้นขับถ่ายสะดวกและสม่ำเสมอกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารตามปกติอย่างเดียว ผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่ให้เส้นใยอาหาร (Fibre หน่วยกรัม/100 กรัม) เช่น ลูกแพร์ 2.2, แอปเปิล 1.8, ส้ม 1.7, กีวีสีทอง 1.4, กล้วยหอม 1.1, กรัม, องุ่น 0.7


# โฟลเลต คือแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ (หมายถึงโครงสร้างร่างกายทั้งหมด) เช่น การสร้างอวัยวะทารกในครรภ์ การสร้างเม็ดเลือด การสร้างสารพันธุกรรมในร่างกาย คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ขาดโฟลเลตมีความเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองและระบบประสาท กีวี 1 ผล ขนาด 76 กรัม มีโฟลเลต 19 ไมโครกรัม หรือ 5%ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน (RDA)


# แมกนีเซียม (30 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมไปใช้สร้างเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟันได้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของแมกนีเซียม กระดูกที่แข็งแรงช่วยให้ร่างกายทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตได้คล่องตัวขึ้น และมีความสุขกับชีวิตได้เต็มที่ แมกนีเซียมที่มีในผลไม้ชนิดอื่น (หน่วยมิลลิกรัม/100 กรัม) เช่น กล้วยหอม 34, กีวีสีทอง 14.5, ส้ม 10, องุ่นและลูกแพร์ 7, ส้ม 5


# ซิงก์ (zinc) แร่ธาตุชนิดนี้มีความสำคัญสำหรับเด็กหนุ่มและผู้ชายทุกคน เพราะเป็นแร่ธาตุที่ใช้สร้างฮอร์โมนเพศชาย (เทสโตสเตอโรน)


ผลการศึกษาในนิวซีแลนด์และยุโรปพบด้วยว่า การรับประทานกีวี 2 ผล/วัน ช่วยลดภาวะที่เซลล์จะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และยังช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลายจากกระบวนเผาผลาญอาหารของร่างกายได้ด้วย รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภูมิคุ้มกันของร่างกาย


นักวิจัยในสหรัฐอเมริกายังพบด้วยว่า ผู้ที่กินกีวีพร้อมหรือกินหลังอาหาร - โดยเฉพาะหากอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันมาก - แร่ธาตุในกีวีจะช่วยลดสภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากจนสารต้านอนุมูลอิสระมีไม่เพียงพอได้ด้วย


แต่ราคาขายกีวี 1 ผลในประเทศไทยอยู่ในระหว่าง 18-25 บาท ผู้บริโภคไทยจะสู้ราคาไหวหรือ และเมืองไทยก็มีผลไม้ชนิดอื่นให้บริโภคตลอดปีในราคาที่แสนจะจูงใจ มร.แดเนียล แมทธีสัน ตอบข้อสงสัยนี้ว่า เป็นความจริงที่ประเทศไทยมีผลไม้ที่มีประโยชน์และมีรสชาติดีมากมาย ราคาจำหน่ายเมื่อคิดต่อกิโลกรัมแล้วมีราคาถูกกว่าการซื้อกีวี เขาเองก็ชอบผลไม้ไทยมากโดยเฉพาะทุเรียน ถึงแม้การกินทุเรียนจะทำให้เขาอึดอัดท้อง แต่เขาก็ยังคงชอบกินทุกเรียนทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะค้นพบว่าการกินกีวีผลหรือสองผลหลังทุเรียน ช่วยลดอาการอึดอัดให้คลายลงไปได้


สิ่งที่เขาอยากแสดงความคิดเห็นก็คือ ผลไม้แต่ละชนิดมีรสอร่อยต่างกันไป ใครชอบรับประทานผลไม้ชนิดใดก็รับประทานเพื่อรสชาติที่ต้องการได้เต็มที่ แต่ถ้าคิดจะบริโภคผลไม้เพื่อสุขภาพ ลองคิดถึงกีวี คิดเสียว่าเป็นการกินผลไม้เพื่อสุขภาพ กินผลไม้อื่นที่ชอบและกินกีวีด้วยเพื่อสุขภาพ อย่างน้อยวันละ 1 ลูกก็ได้


วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553


ดาหลา


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น


ดาหลาเป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า (rhizome) เหง้านี้ จะเป็น บริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ใน เวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม (pseudostem) ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม



ใบ


มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบ ใบไม่มีก้านใบ ผิวเกลี้ยงท้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30-80 เซ็นติเมตร กว้าง 10-15 เซนติเมตร ปลายใบ แหลมฐานใบเรียวลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ


ดอก


ดอกดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ (head) ประกอบด้วยกลีบประดับ (Bracts) มี 2 ขนาด ส่วนโคนประกอบด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่ มีความกว้างกลีบ 2-3 ซ.ม. จะมีสีแดงขลิบขาวเรียงซ้อนกันอยู่และจะบานออก ประมาณ 25-30 กลีบ และมีกลีบประดับ ขนาดเล็กอยู่ส่วนบนของช่อดอก ความกว้างกลีบประมาณ 1 ซ.ม. ซึ่งมีสีเดียวกับกลีบประดับ ขนาดใหญ่ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเข้าเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300-330 กลีบ ภายในกลีบ ประดับขนาดใหญ่ที่บานออกจะมีดอกจนิงขนาดเล็กกลีบดอกสีแดง ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศอยู่ จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างดอกประมาณ 14-16 เซนติเมตร ความยาวช่อ 10-15 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ลักษณะก้านช่อดอกแข็งตรง ดอก จะออกตลอดปีแต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูร้อน คือ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ดอกจะ พัฒนามาจากหน่อดอกที่แทงออกมาจากเหง้าใต้ดินลักษณะของหน่อจะมีสีชมพู ที่ปลายหน่อ ดอกดาหลา



พันธุ์


ปัจจุบันพันธุ์ดาหลาที่ปลูกตัดดอกมีอยู่ 2 พันธุ์ด้วยกันคือ พันธุ์สีชมพู และพันธุ์สีแดง


การขยายพันธุ์


ดาหลาสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้


1. การแยกหน่อ ควรแยกหน่อที่มีความเหมาะสมนำไปปลูกคือ สูงประมาณ 60-100 ซ.ม. ขึ้นไปและมีกิ่งอ่อนกึ่งแก่นประมาณ 4-5 ใบ ใช้มีตัดให้มีเหง้า และรากติดอยู่ด้วย ซึ่งหน่อชนิดนี้จะมีหน่อดอกอ่อน ๆ ติดมาด้วยประมาณ 3 หน่อ นำไปชำในถึงพลาสติก 1 เดือนเพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนปลูก


2. การแยกเหง้า โดยการแยกเหง้าที่เกิดใหม่ที่โคนต้น แล้วนำไปชำในแปลงเพาะชำ วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะเริ่มให้ดอก


3. การปักชำหน่อแก่ โดยนำไปชำในแปลงเพาะชำให้แตกหน่อใหม่แข็งแรง แล้วจึงค่อยย้ายมาปลูกลงแปลงต้นดาหลา



การปลูก


โดยใช้หน่อที่มีเหง้าและรากติดมาด้วย เหง้าที่ตัดมาควรมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว โดยสังเกตุให้หน่อนั้น ๆ มีใบติดมาประมาณ 4 คู่ใบ ปลูกลงในหลุมที่เตรียมไว้ แล้วทำการกลบดินให้สูงประมาณ 6 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม อาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพอกทับโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรหาไม้หลักมาผูกติดกับลำต้นกันต้นโยก



การดูแลรักษาดาหลา


การให้ปุ๋ย จะให้ปุ๋ยดาหลาประมาณ 2 - 3 เดือนต่อครั้ง ซึ่งจะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ (16-16-16) ในอัตรา 96 กก./ไร่/ปี และให้ปุ๋ยคอกในอัตรา 15 กก./ต้น/ปี นอกจากนี้อาจใช้อินทรีย์วัสถุที่ผุพังแล้ว เช่น ใบไม้ต่าง ๆ หรือลำต้นแก่ของดาหลา, วัชพืชที่ขึ้นตามท้องร่อง มาเป็นปุ๋ยหมัก หรืออาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพูนใส่ตามโค้นต้น ซึ่งดินแลนนี้จะมีอินทรีย์วัตถุสูง
การให้น้ำ ดาหลาเป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณที่มากพอสมควร โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของการปลูก ควรรดน้ำให้ชุ่ม โดยใช้แครงสาดวันละ 1 ครั้ง เมื่อต้นดาหลาตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็นประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง แต่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ถ้าเป็นฤดูร้อนควรเพิ่มการให้น้ำมากขึ้นโดยใช้ระบบการให้น้ำแบบพ่นฝอย (springkler) บนแปลงที่ไม่ยกร่อง


การป้องกันกำจัดวัชพืช


ดาหลาเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตเร็ว แตกหน่อได้มาก ทำให้กอแน่นใบบังแสงซึ่งกันและกัน การกำจัดวัชพืชจะต้องกระทำมากในช่วงแรกของการปลูก เมื่อดาหลาโตมาก ๆ จะทำให้แสงที่ส่องผ่านมากระทบพื้นดินน้อย วัชพืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จึงไม่ต้องทำการกำจัดวัชพืชมากนัก



โรคและแมลง ยังไม่พบโรคที่เป็นปัญหาสำคัญกับดาหลา แต่มีแมลงสำคัญดังนี้
1. หนอนเจาะลำต้น ลักษณะการทำลาย เข้าทำลายต้นแก่ โดยไปเจาะบริเวณลำต้น ทำให้ต้นดาหลาหยุดชะงักการเจริญเติบโต และไม่สามารถให้ออกดอกได้ การป้องกันกำจัด ใช้ฟูราดาน 3% โรยบริเวณรอบ ๆ โค้นต้น หรืออาจใช้เซฟวิน
2. มดแดง ลักษณะการทำลาย กรดจากสิ่งขับถ่ายของมดแดงจะทำให้กีบดอกเกิดรอยขาวเป็นจุด ๆ การป้องกันกำจัด เก็บรังมดแดงออกจากต้น และใช้ย่าฆ่ามด



การเก็บเกี่ยวดาหลา


ดอกดาหลาที่มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้มีอายุประมาณ 2 อาทิตย์ นับตั้งแต่เริ่มแทงหน่อดอก ตัดดอกในช่วงเช้าโดยการตัดก้านดอกให้ยาวชิดโคนต้น แล้วแช่ก้านดอกลงในถังที่มีน้ำบรรจุอยู่




วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

รู้หรือไม่ว่า มีอยู่ 2 ประเทศ ไม่สามารถใช้ชื่อ Gmail ได้



นักท่องเน็ทส่วนใหญ่ต้องมี อีเมล (Email) อย่างน้อย คนละ 2 ชื่อ เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกัน อีเมลยอดนิยมส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น Hotmail Yahoo และ Gmail

Gmail คือ บริการฟรีอีเมล ที่จัดทำขึ้นโดย Google เปิดตัวให้ทดลองใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 ในตอนนั้น Gmail ยังอยู่ในช่วงพัฒนา ผู้ที่ต้องการใช้งานจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการเชิญ (invite) เท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทาง Google ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้งาน Gmail โดยสมัครผ่านทางหน้าเว็บ www.gmail.com ได้เลย ถือว่าเป็นการเปิดศึกของการให้บริการ ฟรีอีเมล ที่น่าจับตามอง

บริการ Gmail ดีอย่างไร ??? Gmail ได้เปรียบผู้ให้บริการฟรีอีเมลทั่วไปในเรื่องของพื้นที่การเก็บอีเมล ในขณะที่ทาง Hotmail และ Yahoo ให้พื้นที่ใช้งานอยู่ที่ 1 GB แต่ของ Gmail กลับให้พื้นที่การใช้งานมากกว่าโดยอยู่ที่ 2.8 GB เทียบเท่ากับหน้าเว็บเพจถึง 1.4 ล้านหน้า !!! จุดเด่นโดนใจนอกเหนือจากพื้นที่การใช้งาน

ที่ให้เยอะจนสามารถเก็บอีเมลไว้อย่างจุใจแล้ว Gmail ยังสามารถเช็คอีเมลเข้าใหม่ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ของ Firefox ได้เลย นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิพิเศษในการใช้บริการต่าง ๆ ของ Google อย่างเช่น บริการ iGoogle เสริชเอ็นจิ้น แบบใหม่ที่สามารถจัดรูปแบบ การใช้งานตามสไตล์ของผู้ใช้ เพียงแค่มีอีเมลของ Gmail เพื่อใช้ในการเข้าระบบ เป็นต้น แต่คุณรู้หรือไม่ว่า..

มีเพียงประเทศ เยอรมัน และ ประเทศ อังกฤษ เท่านั้น ที่ทาง Google ต้องเปลี่ยนจาก Gmail เป็น Google Mail เนื่องจากชื่อ Gmail ซ้ำกับชื่อผู้ให้บริการอื่นที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้กลายเป็นเพียง 2 ประเทศในโลก ที่ใช้ @googlemail.com


วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ไอศกรีมซันเดมีอะไรเกี่ยวข้องกับวันอาทิตย์


ไอศกรีมโซดามีจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1874ในรัฐฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว


คำว่า "ซันเด" (sundae) ในไอศกรีมซันเด บิดมาจากคำว่า "ซันเดย์" (Sunday) วันอาทิตย์

เนื่องจากขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านการดื่มสุราในช่วงทศวรรษ 1880-1889 ถือว่าน้ำโซดาเกี่ยวโยงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลายเมืองในภาคตะวันตกตอนกลางถึงกับออกกฏหมายห้ามจำหน่ายไอศกรีมโซดาในวันอาทิตย์ บรรดาเจ้าของร้านขายไอศกรีมและน้ำโซดาหัวใสที่ไม่ต้องการเสียรายได้งาม ๆ ในวันที่ขายดีที่สุดในรอบสัปดาห์ จึงคิดวิธีการที่ง่ายที่สุดเพื่อเลี่ยงกฏหมายที่ "เหลวไหล" นี้ โดยไม่ต้องเติมโซดาลงในไอศกรีมโซดา เติมแต่น้ำเชื่อมรสต่าง ๆ ลงบนไอศกรีมแทน ไอศกรีมสูตรใหม่ที่เสิร์ฟในวันอาทิตย์นี้ให้ชื่ออย่างเหมาะเจาะว่า "a sunday" ต่อมาเปลี่ยนอักษรตัว y ให้ชื่อเป็นอักษร e เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากโบสถ์

ดูเหมือนว่าไอศกรีมสูตรใหม่ได้กลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จเกินคาด ทุกวันนี้ไอศกรีมซันเดเป็นที่นิยมรับประทานกันมากกว่าไอศกรีมโซดาเสียอีก

Moi-Même



- Je suis gaie, sociablese, affectueuxe, ambitieuse et volontaire.


- Je n’aime pas les gens qui sont égoïstes, bagarreurs , capricieuses , agressive et jalouxs.


- Je suis gaie, sociable et volontaie.

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

วันเด็ก - คำขวัญ เพราะเรานั้นคู่กัน

เมื่อมีวันเด็ก สิ่งที่ต้องมีเหมือนกันทุกปีนั่นก็คือ คำขวัญวันเด็ก ค่ะ ซึ่งจะเป็นธรรมเนียมของทุกปีที่นายกรัฐมนตรีจะให้คำขวัญกับเด็กๆ เพื่อเป็นการให้ข้อคิด หรือเป็นคติเตือนใจ ซึ่ง คำขวัญวันเด็กในปี พ.ศ. 2553 นี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้มอบคำขวัญว่า


"คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม"


เป็นคำขวัญที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องแปลกันเลยนะคะ การคิด ก็คิดอย่างสร้างสรรค์ หมั่นขยันใฝ่หาความรู้ แต่ก็ต้องยึดหลักคุณธรรมด้วย

นอกจากคำขวัญของปีนี้แล้ว ชาวเด็กดีจำของปีที่แล้วกันได้หรือเปล่าเอ่ย อิอิ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ พี่แนนได้รวบรวมคำขวัญวันเด็กในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาให้ชาวเด็กดีได้ทราบกัน (เท่ากับอายุ 10 ปีเว็บเด็กดีด้วยหล่ะ แหะๆ) ไปดูกันเลย..
พ.ศ. 2552 - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
พ.ศ. 2551 - พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ : สามัคคี มีวินัย ใฝ่ความรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2550 - พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ : มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ. 2549 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร : อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
พ.ศ. 2548 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร : เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2547 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร : รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2546 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร : เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2545 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร : เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2544 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2543 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย


วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

4 สถานที่ กับ ความทรงจำในวัยเด็ก

ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี ถือว่าเป็น “วันเด็กแห่งชาติ”


ซึ่งคำขวัญประจำวันเด็กแห่งชาติ ปี 2553 ที่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้เป็นของขวัญแก่เด็กๆ ชาวไทยทุกคน ก็คือ “คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม” นอกจากคำขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปีนี้แล้ว พี่ปัดยังมี “4 สถานที่ที่เด็กๆ ชื่นชอบ” มาฝากด้วยจ้ะ


4 สถานที่ กับ ความทรงจำในวัยเด็ก

สวนสนุก >> ถ้าเอ่ยถึงสถานที่แห่งนี้ พี่ปัดเชื่อว่าทุกคนจะนึกถึงความตื่นเต้น สนุกสนาน ที่รออยู่เลยใช่ไหมจ๊ะ เพราะเครื่องเล่นแต่ละชนิดก็จะมีความสนุกที่แตกต่างกันออกไป เช่น รถไฟเหาะก็จะให้ความรู้สึกหวาดเสียว ลงมาอาจจะมีอาการอาเจียนบ้างเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นเป็นที่สุด หรือถ้าต้องการชื่นชมวิวบรรยากาศสวยๆ ล่ะก็ ต้องกระเช้าลอยฟ้าเลยจ้ะ

สวนสัตว์ >> ถือว่าเป็นสถานที่ที่จะทำให้น้องๆ ได้พบเห็นสัตว์นานาสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม , สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก , สัตว์ป่าดุร้าย , สัตว์เลื้อยคลาน ไปจนถึงสัตว์ป่าหายาก ทำให้ได้เรียนรู้ถึงการดำรงชีวิตของสัตว์แต่ละสายพันธุ์ และได้รู้ว่าภายใต้ความน่ากลัวก็ยังมีความน่ารักซ่อนอยู่ด้วย


แผนกของเล่น >> จำกันได้รึเปล่าจ๊ะว่า เวลาที่อยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ ตุ๊กตา รถวิทยุบังคับ ฯลฯ น้องๆ ก็มักจะขอร้องให้คุณพ่อคุณแม่พาไปที่แผนกของเล่นในห้างสรรพสินค้า เพราะสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสวรรค์เล็กๆ ที่รวบรวมของที่อยากได้มากที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว น้องๆ บางคนอาจจะเคยลงไปนั่งร้องไห้กับพื้น เพื่อขอให้คุณพ่อ คุณแม่ช่วยซื้อของขวัญที่อยากได้ด้วยใช่ไหมจ๊ะ

ท้องฟ้าจำลอง >> เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น้องๆ ชอบไปใช่ไหมจ๊ะ เพราะที่แห่งนี้ให้ความรู้ทางดาราศาตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบสุริยะ กลุ่มดาวฤกษ์ , กลุ่มดาวเคราะห์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีห้องฉายดาว ที่จะพาไปสำรวจหาสิ่งต่างๆ เช่น กลุ่มดาวจักรราศี , ค้นหาชีวิตต่างดาว อีกด้วย


วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับหน้าใสได้ด้วย "การล้างหน้า"

หลายคนอาจจะค้นหาเคล็ดลับต่างๆ นานาว่าจะมีวิธีอะไรบ้างนะที่จะทำให้ผิวหน้าสวยใสได้ดั่งใจ และก็หลายคนอีกเช่นกันที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาไปมากมายกับการประทินผิวหน้าด้วยวิธีต่างๆ นานา แต่สาวๆ เชื่อรึเปล่าคะว่า เคล็ดลับของผิวหน้าที่สวยใจนั้นจริงๆ แล้วเป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขามากเลยล่ะค่ะเพราะที่แท้จริงแล้วการที่ผิวหน้าของเราจะสวยใจได้นั้น ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งอยู่ที่ “การล้างหน้า”นั่นเองค่ะ

...ล้างหน้ายังไงบ่อยแค่ไหนถึงจะดี >>> จริงๆ แล้วการล้างหน้านั้นทำเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะ ล้างแค่ตอนตื่นนอนตอนเช้าและอาบน้ำตอนเย็นก็เพียงพอ ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งลอกได้ แต่ถ้าผิวหน้าของสาวๆ สกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา หรือหลังจากกลับจากโรงเรียน ก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกได้ค่ะ แต่สิ่งที่สาวๆ ควรระวังคือ อย่าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะ เพราะจะทำให้ผิวแห้งและแลดูเหี่ยวๆ อีกต่างหาก นอกจากนี้วิธีการล้างหน้าที่ดีคือ สาวๆ แค่ลูบไล้แต่เบามือ ไม่เช็ด ไม่ถู ไม่อย่างนั้นผิวหน้าอาจจะถลอกได้นะคะ

เคล็ดลับหน้าใสได้ด้วย "การล้างหน้า"สิ่งที่สาวๆ มักจะเข้าใจผิดในเรื่องของการล้างหน้า >>> หลายคนอาจจะคิดว่าการขัดหน้าให้ชั้นผิวหนังเก่าลอกออกมานั้นจะทำให้ผิวหน้าขาวใส แต่จริงๆ แล้ว ชั้นผิวหนังเก่าหรือชั้นขี้ไคลก็คือ ชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคลทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่หลายคนเข้าใจผิดนะคะ แต่ว่าเป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละอองเชื้อโรคและสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิวต่างหากค่ะ

ถ้าสาวๆ เช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของสาวๆ ก็จะเหมือนขาดเกราะคุ้มกัน ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ลองสังเกตดูสิคะว่าคนที่ล้างหน้าบ่อยๆ หรือใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางหรือผิวแพ้ง่ายไปเลยล่ะค่ะ

แล้วถ้าเกิดอาการผิวแพ้ง่ายแล้วเราจะดูแลยังไง >>> วิธีแก้ผิวแพ้ง่ายก็ทำได้ไม่ยากเลยล่ะค่ะ แค่สาวๆ ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด อาการผิวแพ้ง่ายก็จะหายไปเองค่ะ แต่ถ้าสาวๆ แต่งหน้า และเครื่องสำอางค์ที่ใช้ไม่ได้กันน้ำสาวๆ สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อน ๆ ของเด็กได้นะคะ หรืออาจะเลือกประเภทที่ไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอมก็ได้นะคะจะได้ไม่ระคายเคือง ที่สำคัญเวลาล้างก็แค่เอาน้ำลูบไล้ ๆ เจลใสหรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้เบาๆ ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ

ส่วนหลังล้างหน้าก็ให้ซับเบาๆ ไม่เช็ด ไม่ถูผิว ผิวจะได้ไม่หยาบกร้านและไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว สาวๆ ยังรู้สึกลื่นๆ เหมือนล้างหน้าไม่เกลี้ยง ให้สาวๆ ซับหน้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนู แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ

เห็นรึเปล่าล่ะค่ะว่าเคล็ดลับจริงๆแล้วอยู่ที่การล้างหน้าด้วยวิธีง่ายๆ แค่นั้นเองล่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อชุดทำความสะอาดผิวหน้าราคาแพงมาใช้ ผิวหน้าก็สวยได้ค่ะ แค่รู้จักดูแลแค่นั้นเอง

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

อย่างที่เราทราบกันดีนะคะว่าปัจจุบันนี้ น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้น้ำยาล้างชนิดใดก็ควรเลือกด้วยความระมัดระวังและเลือกให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน ...


>>> เลือกใช้แบบล้าง แช่ และกำจัดคราบโปรตีนในขวดเดียวน้ำ ยาในรูปแบบนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเวลาเข้าตา สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีพอสมควร ปัญหาที่เกิดมักเกิดจากการที่น้ำยาประเภทนี้ล้างทำคราบโปรตีนติดแน่นได้ไม่ค่อยดีนัก ปัจจุบันมักมีการโฆษณาว่าน้ำยาประเภทนี้ไม่ต้องถูเลนส์ก็ล้างได้ดี ในความเป็นจริงแล้วการถูเลนส์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ เพื่อให้น้ำยาประเภทนี้ใช้งานได้ดี


ปัญหาอีกประการ คือ น้ำยานี้โดยมากจะเหลือคราบสกปรกไว้ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ผู้ใช้เกิดการแพ้สารกันเชื้อโรคในน้ำยานั้น น้ำยาประเภทนี้ใช้ได้ดีที่สุดกับคอนแทคประเภทใส่แล้วทิ้ง


>>> เลือกใช้แบบล้าง แช่ และกำจัดคราบโปรตีนแยกขวดกัน พวกนี้ส่วนมากจะล้างได้ดีกว่า สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีถึงดีมาก มักมียาเม็ดที่ให้แช่ไว้สำหรับล้างคราบโปรตีนทุกๆ เดือน ปกติแล้วน้ำยาชนิดนี้ใช้ได้ดีกับเลนส์ที่ใส่ประจำ เพราะล้างคราบโปรตีนได้ดี


ข้อเสียคือ อาจมีอาการแพ้จากสารประกอบในน้ำยาได้ไม่ค่อยสะดวก แล้วถ้าล้างน้ำยาล้างออกไม่หมดก็จะทำให้ตาเจ็บ ตาแดง และอาจต้องไปพบแพทย์อีกด้วย


>>> เลือกใช้แบบ Hydrogen Peroxide กลุ่มน้ำยาในรูปแบบนี้มักแยกเป็น 2 ขวด ขวดแรกเป็นล้างเลนส์ก่อนฆ่าเชื้อ ขวดที่สองใช้ใส่ในขวดพิเศษพร้อมกับเลนส์ ส่วนมากอันนี้ต้องแช่ไว้ค้างคืน น้ำยาประเภทนี้ฆ่าเชื้อได้ดีมาก ใช้ได้กับคอนแทคเลนส์เกือบทุกชนิด แต่ไม่ค่อยสะดวกเพราะใช้เวลานานในขั้นตอนต่างๆ และเมื่อแช่เลนส์แล้วเอามาใช้ทันทีไม่ได้ จำเป็นต้องแช่ให้ครบกำหนดเวลา ถ้านำเลนส์ออกมาใส่ก่อนครบกำหนดเวลาก็อาจทำให้ตาเจ็บ ตาแดง ต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีนะคะ


จำไว้ให้ขึ้นใจนะคะว่าควรให้ความสำคัญกับการเลือกน้ำยาล้างคอนเทคเลนส์ ให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานคอนเทคเลนส์ของเราด้วย เพื่อที่ดวงตาของเราจะได้สวยใสและปลอดภัยยังไงล่ะคะ