วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กว่าจะมาเป็น "น้ำยาลบคำผิด"


เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า อนงค์นางหนึ่งมีนามว่า นางเบ็ต เนสมิธ เกรแฮม (Bette Nesmith Graham) ทำงานในหน้าที่เลขานุการเวลาที่เธอพิมพ์งานผิด เธอต้องเจอกับปัญหาการพิมพ์ผิดซึ่งเธอใช้ยางลบดินสอเป็นตัวช่วยลบทำให้การทำงานทั้งล่าทั้งช้าและไม่เรียบร้อย ต่อมามีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าออกมาใช้ คราวนี้เธอเผชิญปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะไม่สามารถใช้ยางลบดินสอลบทำผิดได้อีกต่อไป ต้องพิมพ์ใหม่สถานเดียว
กว่าจะมาเป็น "น้ำยาลบคำผิด"

เมื่อต้องประสบกับปัญหานี้อยู่บ่อยครั้งเธอจึงหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการประดิษฐ์น้ำยาลบคำผิดขึ้นมา ในปี ค.ศ.1950 เธอก็ค้นพบวิธีทำน้ำยาลบหมึกแบบง่าย เพียงใช้สีน้ำสีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่กันป้ายสีน้ำสีขาวลงบนกระดาษ แค่ก็สามารถลบคำผิดได้และพิมพ์ซ้ำทับได้แนบเนียน ใช้ง่าย รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้อย่ามีประสิทธิภาพ

ความนิยมเริ่มเกิดขึ้นเมื่อบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอเห็นเช่นนั้น ก็ขอน้ำยาลบหมึกของเธอมาใช้กันบ้าง และนี้ก็คือจุดกำเนิดน้ำยาป้ายคำผิด correcting fluid

ต่อมาเมื่อมีความต้องการน้ำยาป้ายคำผิดมากๆ นางเกรแฮมจึงพัฒนาสีน้ำสีขาวและทำการผลิตที่บ้านออกจำหน่าย ด้วยการผสมสีขาวลงในเครื่องปั่น กรอกใส่ขวดยาทาเล็บ เป็นอุสาหกรรมครอบครัวยาวนานถึง 17 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 เธอได้ขายกิจการให้บริษัทยิลเล็ต (Gillette) ในราคาที่สูงถึง 47.5 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถผลิตน้ำยาลบคำผิดได้ถึง 25 ล้านขวด ออกจำหน่ายไปทั่วโลก

ช็อกโกแล็ตที่อร่อยที่สุดในโลก



ถ้าพูดถึงของหวานของโปรดแล้ว หลายๆ คนคงจะต้องยกนิ้วให้กับ ช็อกโกแล็ต กันแน่ๆ แล้วน้องๆ รู้มั้ยคะว่า ช็อกโกแล็ตที่ไหนอร่อยที่สุดในโลก ? แต่น แต๊น มีความเชื่อว่าช็อกโกแล็ตที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่ที่ เบลเยี่ยม นั่นเอง (ว่ากันว่าอร่อยกว่าของสวิสอีกแน่ะ) เรียกได้ว่าเป็นของฝากขึ้นชื่อของเบลเยี่ยมเลยล่ะ พี่เป้ จะพา ไปทำความรู้จักกับ 2 ยี่ห้อช็อกโกแล็ตประจำเบลเยี่ยมกันค่ะ


โดยที่เบลเยี่ยมนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งช็อกโกแล็ต และมีช่างฝีมือประจำชาติในการผลิตช็อกโกแล็ตด้วย ! ซึ่งช็อกโกแล็ตแบรนด์ที่ดังและมีชื่อเสียงของเบลเยี่ยม ได้แก่

:: NEUHAUS ::

Neuhaus เป็นช็อกโกแล็ตแบรนด์ที่เก่าแก่มาก เพราะมีอายุมากกว่า 150 ปีแล้ว เริ่มก่อตั้งโดย Jean Neuhaus ซึ่งได้ใช้นามสกุลของตนเองตั้งเป็นชื่อยี่ห้อ ปัจจุบันมีมีสาขามากกว่า 2,000 สาขา ใน50 กว่าประเทศทั่วโลก โดยเฉลี่ยแล้ว ภายใน 1 ปี Neuhaus จำหน่ายช็อกโกแล็ตมากถึง 2,400 ตัน !

สินค้าที่ขึ้นชื่อออกใหม่ตอนนี้ของ Neuhaus พี่เป้ขอยกนิ้วให้กับ Chocopresso ที่เพียงนำใส่ลงในนมร้อนก็จะกลายเป็น Chocopresso ที่รสชาตินุ่มลิ้น กลมกล่อม สุดยอดเลยจริงๆ โดยมีรสของช็อกโกแล็ตให้เลือกถึง 6 รส ได้แก่ นม ส้ม วนิลา มอคค่า speculoos และ SAO TOMÉ (รสชาติเผ็ดเล็กน้อย)เป็นต้น เอาใจทั้งคอกาแฟและช็อกโกแล็ตได้ในเวลาเดียว

:: LEONIDAS ::

Leonidas เป็นแบรนด์ช็อกโกแล็ตที่ได้รับการยกย่องจากคนเบลเยี่ยมด้วยกันเองว่าเป็นร้านช็อกโกแล็ตที่อร่อยที่สุด ปัจจุบัน Leonidas มีสาขามากกว่า 1,400 ร้านทั่วโลก โดยคอนเซ็ปท์ของ Leonidas คือ


-Freshness คือ เน้นความสดใหม่และคุณภาพของช็อกโกแล็ต รวมถึงใช้วิธีการผลิตแบบดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา ใช้ส่วนผสมที่ดีที่สุด เช่น มอคค่าบริสุทธิ์ เนยสด ครีมสด รวมถึงส่วนผสมที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ถั่วฮาเซลนัทจากตุรกี อัลมอนด์จากอิตาลี วอลนัทจากเมืองเครโนเบิล ฝรั่งเศส


-Generosity คือ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ว่าจะในโอกาสใด งานเลี้ยง งานวันเกิดหรือเทศกาล Ledonidas ก็มีช็อกโกแล็ตที่ดีเยี่ยม สามารถใช้เป็นของขวัญเพื่อแสดงถึงความรักและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้รับได้


-Tradition คือ ความดั้งเดิมในสิ่งที่ทำสืบต่อกันมา คือการที่ Leonidas ไม่เคยหยุดนิ่งในการผลิตช็อกโกแล็ตที่มีรสชาติและคุณภาพดีติดต่อกันมาเป็นเวลากว่าร้อยปี
ส่วนสินค้าออกใหม่ของ Leonidas ตอนนี้ เอาใจแฟนคลับ Walt Disney โดยการผลิตช็อกโกแล็ตรูปหน้ามิคกี้เม้าส์ บรรจุในกล่องลายมิคกี้เม้าส์สีสันสดใส ล่อตาล่อใจให้อยากได้จริงๆ




วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552



เดี๋ยวนี้ไม่ว่าผู้หญิง หรือผู้ชายก็เริ่มที่จะใส่ใจดูแลผิวกันทุกคน และครีมบำรุงผิวนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่ทำให้ผิวของคุณดูสดใส เปล่งปลั่งขึ้น ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการทาครีมที่แตกแต่งกัน วันนี้เราก็จะมาบอกวิธีการทาครีมอย่างถูกวิธีที่จะช่วยทำให้ผิวของคุณสวยขึ้นได้มาฝากกัน.....

ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่


เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง
ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน

การลงน้ำหนักนิ้ว ควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนัก แรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้


การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง


การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้า โดยเริ่มทาจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้


การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง
การทาครีมบริเวณแขน จะเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว


การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อยาก "เปลี่ยนแปรง" ใหม่ต้อง....



การทำความสะอาดฟันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยลดการเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบ จากประสบการณ์ของทันตแพทย์ มักจะแนะนำให้ทำความสะอาดฟันด้วยหลักการสากล คือ

1. แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร



2. ใช้เส้นใยในล่อนขัดตามซอกฟันทุกซี่ เพราะแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถขจัดเศษอาหารได้หมดจด เป็นเหตุให้มีฟันผุเหงือกอักเสบได้อีก


3. ใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของฟันผุและเหงือกอักเสบ





หลักใหญ่ๆ ในการทำความสะอาดฟันก็มีอยู่เท่านี้ ซึ่งแปรงสีฟันเป็นอุปกรณ์หลักในการทำความสะอาดฟันและเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน

แปรงสีฟันที่จำหน่ายอยู่มีมากมายหลายแบบทั้งที่ผลิตมาถูกต้องตามหลักวิชาการ และผลิตออกมาแบบแฟชั่นเน้นรูปทรงแปลกๆ สีสันสดสวยตามสมัยนิยม ราคาแพงแต่แปรงขจัดคาบอาหารไม่ค่อยได้ผล บางคนเลยนิยมซื้อเก็บสะสมมากกว่าใช้งาน ก็เก๋ไปอีกแบบ เมื่อแปรงสีฟันเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต ตลาดแปรงสีฟันจึงเป็นธุรกิจ ที่มีมูลค่าสูง การแข่งขันทางตลาดและโฆษณาสูงไปด้วย ความสับสนก็มาตกอยู่ที่ผู้ใช้ว่าจะเลือกแปรงชนิดไหนดี เพราะต่างก็บอกว่าเป็นแปรงที่ดีถูกสุขลักษณะเกือบทุกยี่ห้อ

ทีนี้ถ้าจะดูกันละเอียดในส่วนสำคัญที่สุดของแปรงคือ ขนแปรง ในยุคแรกๆ เขาใช้ขนสัตว์มาทำ ที่นิยมมากคือ ขนหมู เริ่มที่ประเทศจีนก่อน ขนแปรงไนล่อน ส่วนเริ่มเข้ามาแพร่หลายเมื่อ 60 ปีที่แล้ว เนื่องจากราคาถูกกว่าและควบคุมมาตรฐานได้ดีกว่า

ในระยะเริ่มแรกของการใช้ขนแปรงไนล่อน ยังไม่มีใครให้ความสำคัญแก่ปลายขนแปรง ขนาดของขนแปรง ตลอดจนความอ่อนหรือความแข็งของขนแปรง จนกระทั่งการค้นคว้าวิจัยของทันตแพทย์หลายคนสรุปตรงกันว่า

1. ปลายขนแปรง จะต้องมีปลายมน

2. ขนาดของขนแปรงควรอยู่ที่ 0.007 นิ้ว

3. ตัวขนแปรงควรมีหลายๆ กลุ่ม (MULTITUFF)

4. ปลายขนแปรงควรวางตัวสูงเรียบๆ เท่าๆ กัน ขนาด½ นิ้วทุกเส้น การผลิตแปรงสีฟันให้ได้มาตรฐานแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่1 นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องใช้เทคนิคสูงในการทำให้ปลายขนแปรงมนได้ทุกเส้น ปกติแล้วการมองขนแปรงด้วยตาเปล่ายากที่จะเห็นได้ชัดเจน จนอาจทำให้คุณมองข้ามความสำคัญส่วนนี้ไป ทั้งที่ขอบคมของปลายขนแปรงนั้นสามารถทำอันตรายต่อเหงือกและฟันได้ เพราะปลายขนแปรงจะเป็นเหลี่ยมและขุย

โดยปกติแล้วจะมีอยู่ 3 คำที่มักเห็นติดอยู่ข้างกล่องแปรงที่ขายกันโดยทั่วไป คือคำว่า END ROUNDED หมายถึงปลายขนแปรงที่มน อีกคำคือ MULTITUFF หมายถึงแปรงที่มีกลุ่มหรือกอขนแปรง เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการขจัดเศษอาหารได้มากที่สุด อีกคำคือ SOFT หรือแปรงที่มีขนอ่อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.007 นิ้ว ซึ่งมีอันตรายต่อเหงือกและฟันน้อยที่สุด

แต่จริงแล้วแปรงสีฟันเกือบทุกยี่ห้อจะเขียนไว้ข้างกล่องว่า END ROUNDED, MULTITUFF และ SOFT ทีนี้จะมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน ผู้มีหน้าที่ควบคุมมาตรฐานสินค้า โฆษณา และคุ้มครองผู้บริโภคน่าที่จะสำรวจคุณภาพดูว่าเป็นจริงตามที่โฆษณาไว้หรือเปล่า



วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?


เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?

๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?


สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ



๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้....รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน

"สูตรแห่งชีวิตประจำวัน"

ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น "ตำราแห่งชีวิต" ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง


สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน....สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผลัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาหารที่บำรุงสายตา


อาหารที่บำรุงสายตา จะมีส่วนประกอบของวิตามินเอ(Vitamiv A) เป็นส่วนสำคัญค่ะ เนื่องจากวิตามินเอนั้น จะช่วยในการแปรพลังงานแสงที่ได้รับให้เป็นสัญญาณสู่ระบบประสาท ถ้าหากขาดไปการรับภาพของจอตาอาจจะเสื่อมลงได้ แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอมากนอกจากจะอยู่อาหารประเภทสัตว์ เช่น ตับ,ไข่แดงหรือนม แล้ว ก็จะมีอยู่ในพืชมีเขียว สีแสด หรือสีเหลือง (สีสวยๆทั้งนั้นเลย) เช่น

1.ผักบุ้ง มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นประกายสวยงาม ไม่แสบ หรือ รู้สึกแห้งในตา เมนูเด็ดๆ ก็คือ ผักบุ้งไฟแดง ลวกจิ้มน้ำพริก หรือกินสดๆก็ได้ค่ะ

2.ตำลึง เป็นไม้เลื้อยที่แต่ก่อนมักปลูกตามรั้วบ้าน ตำลึงเป็นผักที่มีรสหวาน กลิ่นหอม อุดมไปด้วยวิตามินเอ เมนูยอดนิยมก็ต้องแกงจืดตำลึง หรือเอาชุบแป้งทอดก็ได้

3.แครอต เป็นผักที่ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงสายตา และว่ากันว่าจำเป็นถึงขนาดที่นักบินอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กินเพื่อช่วยใช้ในการโจมตีข้าศึกตอนกลางคืน ทำให้โจมตีเป้าหมายได้แม่นยำ(โอ้โฮ สุดยอดเลยค่ะ) เมนูแครอทก็มีมากมาย ต้ม ผัด แกง ทอด หรือจะเอาไปทำเป็นน้ำแครอทก็ยังได้ เยี่ยมจริงๆ

4. ฟักทอง กินได้ทั้งยอดอ่อน ดอกตูม ลูกฟักทองอ่อน และเนื้อฟักทองแก่ มีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส สามารถนำมาทำได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน เช่น ผัดฟักทอง แกงขียวหวานฟักทอง หรือฟักทองบวดฟักทอง พายฟักทอง เป็นต้น

เด็กไทยรุ่นใหม่ มากินผักกันค่ะ ^^\

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

^__________^

ใครหลายคนเคยบอกว่าเพศหญิงเป็นเพศที่มีความซับซ้อนสูง เข้าใจยาก ทั้งเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกที่ต้องระวังและดูแล "จุดซ่อนเร้นภายใน" ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สาวๆ อย่างเราต้องให้ความสำคัญและรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจะเกิดขึ้นได้สาวๆ อย่างเราก็ควรมาเรียนรู้เกี่ยวกับเชื้อราตัวร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับสาวได้บ่อยๆ พร้อมกับวิธีป้องกันดีกว่าค่ะ

>> ตกขาว ... เรื่องที่สาวๆ ต้องเจอ

ตกขาว (leucorrhea) หรือ ระดูขาว เป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้หญิงค่ะ ใครที่เคยมีอาการตกขาวจะทราบดีว่านอกตากจะสร้างความเหนอะหนะแล้ว ยังนำมาซึ่งอาการคันที่ช่องคลอดด้วย ตกขาวปกติ :: จะมีลักษณะคล้ายแป้งละลายน้ำ ปกติไม่มีกลิ่น แต่อาจมีกลิ่นคาวเล็กน้อย ส่วนใหญ่สาวๆ จะมีอาการตกขาวมากกว่าปกติในช่วยใกล้มีประจำเดือน โดยทั่วไปตกขาวจะมีมากช่วงวันที่ไข่ตกซึ่งอยู่ระหว่างวันที่ 14 ของรอบเดือนค่ะ

ตกขาวผิดปกติ :: ตกขาวที่ผิดปกตินั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีอาการคัน หรือปวดแสบปวดร้อน ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ที่สำคัญอาการจะไม่หายไปเอง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการอักเสบติดเชื้อ รองลงมาได้แก่ เนื้องอก ซึ่งหากเกิดจากเนื้องอกแล้วมักจะมีเลือดปนด้วย บางรายเกิดจากสิ่งแปลกปลอม >>> การดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากอาการ "เชื้อราในช่องคลอด" - รักษาความสะอาดบริเวณจุดซ้อนเร้นภายนอก ไม่ควรทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยสบู่ทั่วไปที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เพราะอาจทำให้สมดุลธรรมชาติ (pH balance) บริเวณจุดซ่อนเร้นเสียไป และนี่ยังเป็นอีกสาเหตุให้เกิดตกขาวผิดปกติอีกด้วยนะคะ

- ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำเปล่า หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความจะอาดจุดซ่อนเร้นที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อรักษาความสะอาดและรักษาสมดุลของจุดซ่อนเร้น โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH balance ได้รับการรับรองเป็นมาตรฐานสากลว่าอ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

- ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่คับ อึดอัด ทำให้เกิดความอับชื้น

- เมื่อรู้สึกร้อน หรือเหนอะหนะบริเวณปากช่องคลอด ควรทำความสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เชื้อรา ตัวการทำร้ายสาวๆ

- ไม่ใช้แผ่นอนามัย หรือควรเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการอับชื้น

- เมื่อมีอาการคันไม่ควรเกา เพราะอาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อตามมา

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตำนานการ "เป่า ยิ้ง ฉุบ"

ตำนานเป่า ยิ้ง ฉุบ
เป่า ยิ้ง ฉุบ ยังไม่ทราบที่มาว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด ทราบแต่ว่าเกมส์นี้มีเล่นกันในประเทศเอเชียหลายประเทศ แต่มีชื่อเรียกและวิธีเล่น และการตัดสินแตกต่างกันไป



คนไทย เรียก เป่า ยิ้ง ฉุบ


ฆ้อน=====>ฆ้อนทุบกรรไก
ร , กระดาษ=====>กระดาษห่อฆ้อน , กรรไกร=====>กรรไกรตัดกระดาษ

คนสิงคโปร์ เรียก ชุ่ม ชุ่ม พัท



มังกร-จีบนิ้วทั้ง 5 มังกรดื่มน้ำ มังกรชนะ , ก้อนหิน-กำมือ ก้อนหินฆ่ามังกร ก้อนหินชนะ , น้ำ-หงายฝ่ามือขึ้น น้ำทำให้ก้อนหินจม น้ำชนะ





ประเทศที่มีรายละเอียดมากเป็นประเทศมาเลเซีย เรียก วัน ทู ซุม

นก=====>นกดื่มน้ำ นกชนะ , ก้อนหิน=====> หินขว้างนก หินชนะ หินทุบกระดาน หินชนะ ,
ปืน=====> ปืนยิงหิน ปืนชนะ ปืนยิงนก ปืนชนะ , กระดาน=====> กระดานลอยน้ำ กระดานชนะ , น้ำ=====> น้ำทำปืนเปียกน้ำชนะ น้ำทำให้หินจมน้ำชนะ

ที่จังหวัดสงขลา เรียก วัน ตู ส้ม (มี นก น้ำ หิน กรรไกร) คล้ายๆกับ วัน ทู ซูม ของมาเลเซีย แต่ที่จ.สุราษฎร์ธานี เรียก ชี โพ่ง ที่โคราช (จ.นครราชสีมา) เรียก โอโป้ง ส่วนทางเหนือ เรียก โต โป้งมี กรรไกร ค้อน กระดาษ เหมือนเป่า ยิ้ง ฉุบ ทุกอย่างเพียงแต่เรียกต่างกันตามภาษาท้องถิ่นเท่านั้นเอง



อย่ามองข้าม เชื้อโรค ในห้องน้ำ


ห้องน้ำ...มุมที่เราหลายคนระวังตัวน้อยที่สุดในบ้าน แต่รู้ไหมคะว่าถ้าดูแลไม่ดีพอในห้องน้ำจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมของเชื้อโรคขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามากมายเชียวล่ะ
1. ผ้าม่านพลาสติกมีคำยืนยันจากนักจุลชีววิทยาแล้วค่ะว่า คราบสีดำที่เกาะอยู่กับผ้าม่านพลาสติกในห้องน้ำนั้นก็คือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้แบคทีเรียชนิดนี้เติบโตได้ดีก็คือละอองจากการเรอ จาม และไอของคนค่ะ
Safety Tip ควรถอดผ้าม่านพลาสติกไปซักอาทิตย์ละครั้งหรืออย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
2. ฟองน้ำถูตัว ฟองน้ำที่ใช้ถูตัวที่เป็นสิ่งชำระความสกปรกตามซอกต่างๆ ของร่างกาย แถมยังต้องเปียกชื้นอยู่เกือบตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเป็นอย่างดี
Safety Tip คุณแม่ควรเลือกฟองน้ำถูตัวที่ไม่หนามาก ซักฟองน้ำถูตัวด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังใช้ และควรแขวนตากให้แห้งด้วย
3. แปรงสีฟัน ห้องน้ำมีเชื้อโรคหลายชนิด หนึ่งในเชื้อโรคนั้นคือโรตาไวรัสและเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัสที่ติดโดยการสัมผัสผ่านทางจมูกและปาก เพราะฉะนั้นต้องระวังของใช้ส่วนตัว(ชิ้นเดียว)ที่มักวางอยู่ในห้องน้ำและต้องเอาเข้าปากอย่างแปรงสีฟันเป็นพิเศษ
Safety Tip หากล่องเก็บแปรงสีฟันโดยเฉพาะที่มีรูระบายอากาศ เพื่อป้องกันความเปียกชื้น และล้างแปรงสีฟันทุกครั้งก่อนแปรงฟัน
4. อ่างล้างหน้า เป็นที่อุดมไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิด โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ชอบความเปียกชื้นเป็นพิเศษ ในบางบ้านอาจมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาศัยอยู่ด้วย
Safety Tip ทำความสะอาดอ่างล้างหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรทำความสะอาดทุกวัน
5. ชักโครก เครื่องใช้ที่รองรับของเสียทั้งหลายจากร่างกาย ไม่ต้องบอกก็พอเดากันได้ว่าการทำธุระส่วนตัวแต่ละครั้งจะมีเชื้อโรคแพร่กระจายมากมายแค่ไหน แถมใต้ฝารองนั่งก็ยังมีเชื้อโรคต่างๆ แฝงอยู่ไม่น้อย
Safety Tip ล้างชักโครกด้วยน้ำยาที่มีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกอาทิตย์ และอย่าลืมยกฝาชักโครกขึ้นขัดทำความสะอาดด้วยนะคะ
6. ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้า เพราะเปียกชื้นอยู่แทบตลอดเวลา หากคุณแม่มีแต่เช็ด เช็ด เช็ด แล้วก็เช็ด แต่ไม่เปลี่ยนผืนบ้าง ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้าจะกลายเป็นที่อาศัยของเชื้อราไปโดยปริยาย
Safety Tip ควรแขวนผ้าเช็ดมือหรือวางผ้าเช็ดเท้าในที่ลมผ่าน หรือเอาออกมาตากให้แห้งหลังใช้งานทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคที่รักความอับชื้นทั้งหลาย
ห้องน้ำอากาศไม่ถ่ายเทและชื้นอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นยอดทีเดียว กิจวัตรประจำวันทุกวันของเราในห้องน้ำก็มีส่วนทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้อย่างดี ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือคุณแม่ต้องรู้เท่าทันจุดที่มีเชื้อโรคหมักหมมหรือก่อตัวได้ง่ายและหมั่นทำความสะอาดแหล่งเพาะเชื้อโรคนั้นเป็นประจำค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"เจลอนามัย" พกไว้ให้มือสะอาด


จริงๆ แล้วหากจะถามว่าทั้งสองอย่างนี้สามารถป้องกันไข้หวัดได้ 100% หรือไม่ คงตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยนะคะว่า "ป้องกันไม่ได้ 100% อย่างแน่นอน" ... แต่กันไว้ดีกว่าแก้ใช่รึเปล่า

สำหรับเจ้าหน้ากากอนามัยนั้นสาวๆ สามารถหาซื้อได้ง่ายตามสถานที่ตัวไปเลยนะคะ มีให้เลือกมากมายหลายสีหลายแบบหลายลายตามสไตล์ของแต่ละคน ส่วนเจลล้างมือน่ะเหรอ ไม่จำเป็นต้องซื้อหรอกค่ะ เพราะว่าเราสามารถทำเองได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียสตางค์เลยล่ะ

วิธีทำ ก็ง่ายแสนง่าย โดยสาวๆ จะต้องเตรียมของเหล่านี้ก่อนค่ะ ... อุปกรณ์ ถัง หม้อสแตนเลส หรือพลาสติก ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร ไม้พาย ถ้วยตวงขนาดบรรจุ 1 ลิตร (1,000 มล.) สารเคมี เอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 740 มล. กลีเซอรีน 10 มล. น้ำ 245 มล. น้ำหอม 5 มล.

วิธีการผสม เตรียมสารละลายน้ำหอม
1. ตวงเอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 40 มล. โดยใช้ถ้วยตวงที่เตรียมไว้
2. เติมน้ำหอม ปริมาณ 5 มล. ลงไป
3. เติมกลีเซอรีน ปริมาณ 10 มล. ลงไป
4. กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี ได้สารละลายใส


การผสมผลิตภัณฑ์นำเอธิลแอลกอฮอล์ที่เหลือ ปริมาณ 700 มล. ใส่ในถัง หม้อสแตนเลส หรือพลาสติก ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร เติมสารละลายน้ำหอมที่เตรียมไว้ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี จากนั้นเติมน้ำ ปริมาณ 245 มล. ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันได้
อาจจะดูเป็นขั้นเป็นตอนยุ่งยากสักหน่อย แต่ด้วยวิธีนี้จะทำให้สาวๆ ได้เจลล้างมือที่หอม สะอาด และปลอดภัยมาใช้โดยไม่ต้องไม่เสียสตางค์ซื้อมาด้วยล่ะค่ะ ยังไงสาวๆ ลองนำวิธีนี้ไปทำตามดูนะคะ
ทีนี้หากจะออกไปไหนมาไหนสาวๆ ก็อย่าลืมพก "หน้ากากอนามัย" และ "เจลล้างมือ" ติดกระเป๋าไว้ให้เป็นนิสัยด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ถือซะว่าเป็นการร่วมกันรับผิดชอบสังคมไม่ให้ตัวเองเป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อโรค แถมยังเป็นการเซฟตัวเองในการรับเชื้อโรคต่างๆ ด้วย ^^

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Her Majesty the Queen



Her Majesty the Queen, from the time His Majesty the King returned to Thailand in 1950 with M.R. Sirikit Kitiyakara by his side as his fiancee, to the day of the royal wedding when she became the Queen of Thailand, Her Majesty has since been the cherished Queen of her subjects and the source of their strength and hope. She has been the devoted consort of His Majesty the King and the pride of the Chakri Dynasty.
The sight of Their Majesties standing side by side at their royal residence, at state functions, and during their trips to visit the Thai peoplein different parts of the Kingdom was heart warming for the Thai people. After the miserable days of World War Two, the great loss of their beloved late king, and the departure of the new King who had to continue his education abroad, the return of their Majesties the King and Queen was like sacred water that soothed the soul of every Thai. With their presence, the Thai people were grateful and considered themselves fortunate to have their Head of State back, together with his Queen who is blessed with beauty and grace.
But more than that, Their Majesties have since dedicated themselves to hard work, with the benefit and the happiness of the people as their ultimate goals. They have assisted all the suffering underprivileged poor in ever part of the Kingdom who lack access to opportunities and have no o­ne to turn to.

There is no place that is too far away or too difficult to travel to. For the past four decades, Their Majesties the King and Queen have dutifully served as their people's advisors.
Whenever there is a disaster, regardless of where it happens, Their Majesties are always there to alleviate the hardships, and do so without any discrimination. Their assistance has always been o­n a continuous basis, to enable those affected by the misfortunes to become self-reliant again.

Their visits to different parts of the country to get to know the people during the early period of their reign has created a bond that binds them with their subjects. Their Majesties have a very close the with villagers in every region of the Kingdom. They have listened to them about their hardships in making a living. His Majesty has never overlooked asingle problem faced by the people and has always looked for ways to adress these problems. Her Majesty, o­n the other hand, has always responded to the King's plans and directions and is committed to hard work for the benefits of the people. Her Majesty to help local rural people to increase their income by their own skills. Here demonstrations of handicrafts are given and products are sold at competitive prices. This center gives the visitor a glimpse of the typical life of a farmer and their traditional arts and crafts. The center is under the Promotion of SUPPORT (Supplementary Occupations and Related Techniques) and was established under Royal Patronage o­n July 1976.

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันแม่ของแต่ละประเทศ

วันแม่แห่งชาติไทยเราตรงกับวันที่ 12 ส.ค.ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ริเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2519 โดยคณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

สำหรับประเทศอื่นมีวันแม่เช่นกัน เช่นที่สหรัฐ ตรงกับวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม และญี่ปุ่นเลียนแบบมาจากสหรัฐอีกต่อ

วันแม่ของสหรัฐ มาจากหญิงสาวชื่อ แอนนา มารี จาร์วิส ในเมืองกราฟตัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ระลึกถึงแม่ของตน โดยหลังแม่เสียชีวิตไป 2 ปี แอนนาจัดงานรำลึกถึงพระคุณแม่ เริ่มเฉลิมฉลองกับผู้คนกลุ่มเล็กๆ จากนั้นจึงส่งเสริมให้วันแม่ เป็นวันหยุดสำคัญของท้องถิ่น กระทั่งกลายเป็นวันหยุดประจำชาติในปี 2457 โดยมีดอกคาร์เนชั่นสีขาว เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้เป็นตัวแทนของความอ่อนหวาน บริสุทธิ์ และคงทนของความรักที่แม่และลูกมีให้แก่กันซึ่งดอกคาร์เนชั่นสีขาวเป็นดอกไม้โปรดของคุณแม่ของแอนนา

ส่วนประเทศอื่นๆ มีวันแม่ดังนี้
อาทิตย์ที่สองของเดือนก.พ. คือ นอร์เวย์
วันที่ 8 มีนาคม คือ บัลแกเรีย แอลเบเนีย
อาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเลนต์ (มาเธอริง ซันเดย์) คือ สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ไอร์แลนด์

วันที่ 21 มี.ค. (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) คือ จอร์แดน ซีเรีย เลบานอน อียิปต์
อาทิตย์แรกของเดือนพ.ค. คือ โปรตุเกส ลิทัวเนีย สเปน แอฟริกาใต้ ฮังการี

วันที่ 8 พ.ค. คือ เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)

วันที่ 10 พ.ค. คือ กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน ปากีสถาน มาเลเซีย เม็กซิโก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย โอมาน และประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้
อาทิตย์ที่สองของเดือนพ.ค. แคนาดา ไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น เดนมาร์ก ตุรกี นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ บราซิล เบลเยียม เปรู ฟินแลนด์ มอลตา เยอรมนี ลัตเวีย สโลวะเกีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ออสเตรีย อิตาลี เอสโตเนีย ฮ่องกง

วันที่ 26 พ.ค. คือ โปแลนด์

วันที่ 27 พ.ค. คือ โบลิเวีย
อาทิตย์สุดท้ายของเดือนพ.ค. คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน สวีเดน
อาทิตย์แรกของเดือนมิ.ย. หรืออาทิตย์สุดท้ายของเดือนพ.ค. คือ ฝรั่งเศส

วันที่ 15 ส.ค. (วันอัสสัมชัญ) คือ คอสตาริกา แอนต์เวิร์ป (เบลเยียม)
อาทิตย์ที่สองหรือสามของเดือนต.ค. อาร์เจนตินา

วันที่ 28 พ.ย. คือ รัสเซีย

วันที่ 8 ธ.ค. คือ ปานามา

ส่วนวันที่ 22 ธ.ค. คือ อินโดนีเซีย

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คำสอนของแม่ ..


แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้ ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบ และกึ๋นของลูกเอง แม่อยากให้ลูกคิดและมองโลกในแง่ดี อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้ หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี

แม่อยากให้ลูกหัดฝัน เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น และจงเป็นคนแรก ที่ให้กำลังใจ และชื่นชม

แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร
แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ ลูกจะได้รับวิตามินดี และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา

แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆ อาจจะดูเหมือนคนบ้า แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ

แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆ อย่างที่ลูกหวังไว้ อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง แม่อยากสอนให้ลูกเขย่งขาขึ้นให้สูง ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่

แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆ ไม่เป็นหรอกเจ้าเอย ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้


"อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว"

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สถาปัตย์มหัศจรรย์! โลกตะลึง 10 ตึกประหลาด

"สถาบันสถาปัตยกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา" พยากรณ์ล่าสุดว่า ผลพวงจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำและภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา จะส่งผลให้ลักษณะการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในช่วง 2-3 ปีจากนี้ลดการออกแบบหวือหวาลงไปเพื่อประหยัดต้นทุน โดยหันไปเน้นรูปแบบเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
ด้วยเหตุนี้นิตยสารเทคโนโลยีเครื่องยนต์กลไกเล่มดัง "พ็อพพิว ลาร์เมคานิก" จึงตระเวนสรรหาตึกแปลกประหลาดพิสดาร ท้าทายความคิดสร้างสรรค์ด้านสถาปัตยกรรมและแรงโน้มจากทั่วโลกมาให้ได้ยลโฉมกันบางส่วนดังนี้



(1.) 30 St. Mary Axe (30 เซนต์ แมรี่ แอ็กซ์)
ตึกระฟ้าเจ้าของสถิติอาคารสูงอันดับ 2 ในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดทำการปี 2547 มีชื่อเล่นว่า "ตึกแตง" เพราะรูปทรงคล้ายแตง กลมมนทั้งตึก โครงสร้างเต็มไปด้วยกระจก เฉพาะภายนอกติดตั้งกระจกกินพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร






(2.) The Egg (ดิ เอ้ก)
อาคารทรงไข่ผ่าครึ่ง ที่ตั้งศูนย์ศิลปะการแสดงเมืองอัลเบนี่ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีโรงละครอยู่ภายใน 2 โรง ความจุรวม 892 ที่นั่ง ยากที่ใครจะเลียนแบบ เพราะมีโครงสร้างรับน้ำหนักซับซ้อนมาก


(3.) Flintstone House (ฟลินต์สโตน เฮาส์) บ้านจัดสรรในเมืองเบอร์ลินเกม รัฐแคลิ ฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สร้างเลียนแบบบ้านในการ์ตูนยอดฮิตในอดีต "มนุษย์หินฟลินต์สโตน" ออกแบบโดย วิลเลียม นิโคลสัน เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน

(4.) The Crooked House (เดอะคร้กเก็ดเฮาส์)อาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจเมืองโซพอต ประเทศโปแลนด์ มองดูมีสัดส่วนบิดเบี้ยวสุดๆ ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพบ้านเรือนในหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก ตรงหลังคาออกแบบตั้งใจให้เหมือนเกล็ดมังกร

(5.) Basket Building (บาสเก็ตบิลดิ้ง) สำนักงานใหญ่บริษัทลองกาเบอร์เกอร์ เมืองนิวอาร์ก สหรัฐอเมริกา ประกอบกิจการขายตะกร้า ซึ่งก็คือที่มาของอารมณ์นึกสนุกสร้างตึกเป็นทรงตะกร้านั่นเอง

(6.) Guggenheim Museum (กุกเกนไฮม์ มิวเซียม)พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ เมืองบิลเบา ประเทศสเปน รังสรรค์โดย แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกชื่อดังระดับโลกชาวแคนาดา ออกแบบให้ดูสับสนวุ่นวาย มองแล้วเดาไม่ออกว่าเส้นสายโครงสร้างจะไปจบตรงไหน


(7.) Dancing House (แดนซิ่งเฮาส์)"บ้านเต้นระบำ" กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ผลงาน แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกแคนาดา และวลาโด มิลยูนิช เพื่อนสถาป นิก มีชื่อเล่น "จิงเจอร์แอนด์เฟร็ด" ตามที่มีการออกแบบได้แนวคิดจากท่าเต้นพลิ้วไหวคู่กันของ จิงเจอร์ โรเจอร์ส และเฟร็ด แอสแตร์ สองนักเต้นชื่อดัง


(8.) Lotus Temple (โลตัสเทมเปิ้ล)"วัดดอกบัว" หรือ "โลตัสเทมเปิ้ล" ในกรุง นิวเดลี อินเดีย หนึ่งในศาสนสถานที่มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในอินเดีย


(9.) Cube House (คิวบ์เฮาส์)บ้านทรงลูกบาศก์เชื่อมต่อกัน 38 หลังในนครร็อตเทอร์ดัม เน เธอร์แลนด์ เกิดจากแนวคิดเวลามองหมู่แมกไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ร่วมกัน


(10.) Library of Alexandria (ไลบรารี่ ออฟ อเล็กซานเดรีย)ห้องสมุดเมือง อเล็กซานเดรีย อียิปต์ มีความสูง 11 ชั้น ลักษณะอาคารสื่อถึงภาพดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ เปรียบได้กับการเข้ามาแสวงหาเพิ่มพูนปัญญา ณ สถานที่แห่งนี้

เรื่องของสาวๆ กับ "วันนั้นของเดือน"

สำหรับสาวๆ อย่างเรา เมื่อใกล้เวลาที่ถึง "วันนั้นของเดือน" ก็เหมือนจะมีเรื่องที่ต้องทำให้กังวลใจอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีพฤติกรรมและความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่า เรื่องเหล่านี้แก้ไขและป้องกันได้ง่ายมาก... เพียงแค่รู้สาเหตุว่า เมื่อถึงวันนั้นของเดือน ทำไมสาวๆ จึง...

>> โมโหง่าย ขี้หงุดหงิด อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ
สาเหตุมาจากภาวะขาดน้ำตาลในเลือดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมีรอบเดือน วิธีแก้ไขที่ทำได้ง่ายๆ ก็คือลองกินอาหารมื้อเล็กลงแต่บ่อยครั้งขึ้น เติมพลังด้วยวิตามินบี 6 รวมทั้งหาเวลาออกกำลังกายเบาๆ อย่างเช่น การเดินหรือขี่จักรยาน เพื่อให้ระบบร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินช่วยให้อารมณ์เบิกบานขึ้นค่ะ

>> ซึมเศร้า เหงาหงอย ขี้แย สับสน และหลงลืม
สาเหตุมาจากช่วงนั้นของเดือน ร่างกายจะมีเกลือและไขมันมากกว่าปกติ ทำให้ฮอร์โมนเจ้าอารมณ์อย่างเอสโตรเจนมีระดับเพิ่มขึ้น สาวๆ สามารถแก้ไขปัญหานี้ด้วยการเลือกกินอาหารที่มีไขมันต่ำ และเพิ่มแร่ธาตุสังกะสีให้กับร่างกาย ซึ่งจะเป็นวิธีที่ช่วยลดอาการเศร้าหดหู่ได้ค่ะ

>> กังวลใจเรื่องความสะอาดและกลิ่นอับชื้น
ช่วงเวลาอันแสนอับชื้นนี้ย่อมสร้างความกังวลใจให้สาวๆ ได้อย่างแน่นอน แต่แก้ไขได้ง่ายมากๆ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นช่วยในการรักษาความสะอาดและกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากสมุนไพรและมี pH balance ที่มีความอ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้นนี้ นอกจากจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้แล้ว ยังช่วยรักษาความสะอาดได้ดีอีกด้วย โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวควรผ่านการตรวจสอบและทดลองมาแล้วว่าปลอดภัยจริงค่ะ


>> น็อตหลวม หมดแรง เหนื่อยง่าย
สาเหตุมาจากความแปรปรวนของฮอร์โมนเพศ สาวๆ จะต้องงดอาหารหวานจัด และที่สำคัญควรออกกำลังกายวันละประมาณ 30 นาทีเพื่อปรับสมดุล พร้อมกับเลือกรับประทานวิตามินเอหรือน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพราะจะช่วยดูแลสภาพผิวให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าเพลียนักล่ะก็ ลองหาเวลางีบ ทำสมาธิ หรือเล่นโยคะก็ยังได้ค่ะ

>> ระบบย่อยทำงานเร็วผิดปกติ หิวตลอด
สาเหตุมาจากช่วงก่อนมีรอบเดือน สารเซโรโทนินในร่างกายจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติค่ะ ดังนั้นพี่เหมี่ยวแนะนำว่าอยากกินก็กินเลย... แต่ควรควบคุมปริมาณด้วยนะคะ เลือกกินผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยๆ และหากิจกรรมอื่นๆ ทำเพื่อผ่อนคลาย


>> รู้สึกตัวบวม ท้องอืด และอาหารไม่ย่อย
เรียกได้ว่าเป็นอาการข้างเคียงของวันนั้นของเดือน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สาวๆ ควรลดการบริโภคเกลือ ออกกำลังให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 นาที เลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง รวมทั้งวิตามินบี 6 และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส หากมีอาการท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยก็ควรงดกาแฟและแอลกอฮอล์ก่อนมีรอบเดือนไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์นะ


วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คนเป็นลูกต้องอ่าน

วันเกิดเราแม่เจ็บที่สุด ก่อนที่เราจะมายืนยิ้มทำหน้าเป็นเด็กดีอย่างนี้ รู้ไหมสิบกว่าปีก่อน เป็นวันที่แสนทรมานของคุณแม่น้องๆ ยิ่งถ้านับย้อนไปอีก ตลอดเวลาเก้าเดือน คุณแม่ต้องอุ้มท้องเราทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ อย่างยากลำบาก ลองนึกภาพว่าแค่เรามีลูกแตงโมอยู่ที่ท้องตลอดเวลา จะลำบากขนาดไหน แต่การอุ้มท้องมันหนักหนากว่านั้นมาก ทั้งขนาดที่ใหญ่กว่า น้ำหนักที่มากกว่า ต้องคอยระวังทุกครั้งเวลาขยับตัว เพราะกลัวลูกน้อยจะกระทบกระเทือน อาหารเราก็แย่งแบ่งมาจากที่แม่กิน แย่งแม้กระทั่งลมหายใจ...

ดังนั้นถ้าช่วยอะไรคุณแม่เล็กๆ น้อยๆ ได้ รีบทำให้คุณแม่เลยนะครับ เพราะน้อยนิดมาก ถ้าเทียบกับความลำบากของท่าน ทั้งตอนอุ้มท้อง และตอนที่คลอดเรา รวมถึงตอนที่เฝ้าทนุถนอมเลี้ยงดูเราเสมอมา

จะมีใครรักเราเท่าคุณแม่ อาการน้อยใจเพราะถูกแม่ดุเรื่องการเรียน ดุตอนกลับถึงบ้านดึก คอยจ้ำจี้จำไชเราตลอดเวลา ลองทบทวนดูให้ดี ว่าสิ่งต่างๆ นี้ เกิดจากอะไร?


ดุเรื่องการเรียน = การอ่านหนังสือบ่อยๆ และเรียนเก่ง ล้วนเป็นประโยชน์โดยตรงต่อเราทั้งนั้น คุณแม่ทุกคนล้วนเป็นห่วง และอยากเห็นลูกมีอนาคตที่ดี มีชีวิตสะดวกสบาย การเคี่ยวเข็ญเราตอนนี้ ถ้าเราทำตาม ก็จะเป็นผลดีต่ออนาคตในภายภาคหน้าแน่นอน
ดุเรื่องกลับบ้านดึก = เรามักจะคิดว่า พวกเราโตแล้วดูแลตัวเองได้ แต่คนที่เป็นห่วงเราที่สุดอย่างคนที่เป็นแม่ ลูกจะโตแค่ไหนก็ตาม ผู้เป็นแม่ก็ยังเป็นห่วง แล้วรู้สึกอยากปกป้องเสมอ เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะความรักของแม่มีปริมาณมากเท่าไร จะไม่เคยลดลงไปเลยอย่างไรล่ะ แม้ลูกจะอายุเท่าไรก็ตาม

เงินที่คุณแม่ให้ ใช้ไม่มีหมด หลายคนมีความรู้สึกว่า ทำไมเงินที่คุณแม่ให้เรามามันน้อยนิด ไม่ค่อยพอใช้เลย จะไปเที่ยว ซื้อชุดใส่ตามแฟชั่นบ้างก็ไม่ได้ งั้นพี่มิ้งชวนคิดกันให้ดีอีกครั้ง ตั้งแต่เราเกิดมาคุณแม่ต้องจ่ายทั้ง ค่าผ้าอ้อม ค่านม ค่าเสื้อผ้า พอโตขึ้นมาหน่อยก็มีค่าอาหารวันละสามมื้อ ค่าเล่าเรียน ค่าชุดนักเรียน พอตอนมัธยม ค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ค่าดูภาพยนตร์ แล้วเราต้องพึ่งพาเงินของคุณแม่ต่อไปอีก จนกว่าจะจบปริญญาตรี ลองคิดคำนวณจำนวนเงินทั้งหมดดู ว่ามากมายแค่ไหน คิดว่าคุณแม่ให้เราน้อยเกินไปหรือครับ?

คุณแม่ไม่เคยโกรธเรา อาจเคยมีปัญหากับคุณแม่บ้าง บางครั้งที่ความเห็นไม่ตรงกัน น้องๆ อาจถือศักดิ์ศรีจนอายที่จะเข้าไปง้อคุณแม่ แต่ที่จริงแล้วคุณแม่ไม่เคยโกรธเราครับ แล้วพร้อมให้อภัยเราเสมอ อาจมีบางครั้งที่คุณแม่เหนื่อยกับการทำงานหนัก หรือปัญหาการจัดการต่างๆ จนอาจมีอารมณ์หงุดหงิดบ้าง อยากให้เราเข้าใจว่า บางทีเรื่องที่คุณแม่ปวดหัวอยู่ อาจมีเรื่องของเรารวมอยู่ด้วยก็ได้ ดังนั้นถ้าเราทำให้คุณแม่ปวดหัวทางอ้อมแล้ว ยังอยากจะมำให้คุณแม่ปวดใจทางตรงอีกเหรอ ?

อ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ควรจะรักแม่ แล้วก็ต้องปฏิบัติต่อคุณแม่ในทุกๆ วัน คุณแม่เฝ้าคอยดูแลเรา ตอนที่เรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มานับสิบๆ ปี เราปฏิบัติช่วยเหลือท่านเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านั้น รักแม่ค่ะ ^^

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีเยียวยา ริมฝีปากคล้ำ



มีหลายเหตุผลที่ทำให้ริมฝีปากของคุณ เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ อย่างเช่น การดื่มชากาแฟมากเกินไป การสูบบุหรี่ การเผชิญกับแสงแดดโดยปราศจากการป้องกัน ความแห้งของผิว รวมถึงการใช้เครื่องสำอางมากเกินไปและใช้อย่างไม่ถูกวิธี ดังนั้น หากต้องการให้ริมฝีปากกลับมาดูดีได้ดังเดิม การแก้ไขควรเริ่มที่ต้นเหตุ -ไม่ว่าจะเป็นดื่มกาแฟและชาน้อยลง หยุดสูบบุหรี่อย่าทาลิปสติกมากเกินไป ระวังอย่าใช้ลิปสติกหมดอายุ มันอาจทำให้ริมฝีปากดำคล้ำมากขึ้นได้ และอย่าลืมทากันแดดที่ริมฝีปากทุกครั้งที่ต้องเผชิญแสงแดดจัดจ้า หรือใช้ลิปสติกที่ผสมสารกันแดด อีกทั้งควรทำความสะอาดลิปสติกให้หมดจดทุกคืนก่อนนอน


ในระหว่างนั้น คุณ สามารถเร่งการเยียวยาผิวคล้ำบนเรียวปาก ด้วยการขัดลอดเซลล์ผิวบนเรียวปากเป็นประจำ โดยการใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ขัดเบาๆ และก่อนนอนทุกคืน นวดริมฝีปากด้วยส่วนผสมของน้ำมันอัลมอนด์ น้ำมะนาว และน้ำผึ้งเล็กน้อย น้ำมะนาวเป็นสารฟอกสีตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับน้ำมันอัลมอนด์ที่มีคุณสมบัติในการทำให้สีผิวจางลงได้ ขณะที่น้ำผึ้งจะช่วยเยียวยาและบำรุงผิว มันจะช่วยให้สีผิวบนเรียวปากของคุณกลับมาสดใสได้อีกครั้ง

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีเลือกรองเท้าส้นสูงสำหรับวัยใส ใส่ให้สวยและถนอมสุขภาพเท้า

วิธีเลือกรองเท้าส้นสูงสำหรับวัยใส เป็นทริคใส่ให้สวยและถนอมสุขภาพเท้า
หากเอ่ยถึงแอคเซสเซอรี่เสริมบุคลิกสาวมหาลัยแล้ว 'รองเท้าส้นสูง' มักเป็นอันดับต้น ๆ ที่หลายคนจะนึกถึง และหยิบมาเป็นตัวช่วยเพิ่มความสง่า แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ความเหมาะพอดีกับรูปเท้า ซึ่งสัปดาห์นี้มีวิธีเลือกรองเท้าส้นสูงมาฝากวัยใส ไว้เป็นทริคไปใส่ให้สวยและถนอมสุขภาพเท้ากัน
ส้นไม่สูงเกินไป เพราะสาว ๆ จะยืนในลักษณะท่าเขย่ง ต้องทรงตัวให้ตรง หากใส่นาน ๆ กล้ามเนื้อหลังจะทำงานหนักและอาจเกิดอาการปวดตามมา ดังนั้น ระหว่างวันควรเปลี่ยนใส่รองเท้าส้นเตี้ยบ้าง เพื่อพักกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ
หัวรองเท้าควรดูให้พอดี ไม่ว่าจะหัวมน หัวเหลี่ยม หรือหัวแหลม ควรมีพื้นที่ให้เท้าวางได้สบาย หากบีบรัดนิ้วเกินไป เมื่อใส่ไปนาน ๆ จะทำให้รูปนิ้วไม่ตรง บางกรณีอาจพบปัญหารองเท้ากัดเนื่องจากการเสียดสีกับผิวรองเท้าด้านใน
เลือกผิวรองเท้าด้านในที่ใส่สบาย ยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหว อาจเลือกที่มีผ้าบุหรือวัสดุรองรับแรงกระแทกบริเวณโค้งอุ้งเท้า เพื่อกระจายน้ำหนักที่ฝ่าเท้า ช่วยลดอาการปวดเมื่อย
ส่วนเทรนด์สี ส้นสูง ซีซั่นนี้ เริ่มที่ สาวผิวขาว นิยมรองเท้าทั้งโทนอ่อนและโทนสด ช่วยขับสีผิวของเท้าให้ดูขาว เรียวขาดูสว่าง ส่วนสาวผิวคล้ำ จะเน้นสไตล์และสีคลาสสิค อย่างน้ำตาล ดำ กรมท่า นอกจากนี้ รองเท้าที่มีดีไซน์แบบเรียบแต่เน้นความโดดเด่นของสีเพียงสีเดียวก็ยังเป็นที่นิยม เพราะสามารถใส่ได้หลายโอกาส

ทริคคลายเมื่อย! หลังจากใส่ส้นสูงมาทั้งวัน ลองแช่ด้วยน้ำอุ่น 10-15 นาที จากนั้นเหยียดงอนิ้วเท้า สลับกับการนวดบริเวณอุ้งเท้า จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้.