วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Dreamweaver CS5



        Dreamweaver CS5 กับความสามารถที่น่าสนใจ




ด้วยการทำงานของโปรแกรม Adobe Dreamweaver CS5 ทำให้นักออกแบบและนักพัฒนาเว็บไซต์ สามารถออกแบบพัฒนาด้วย CSS และปรับปรุงพัฒนาให้มีความสามารถต่างๆ ตามความต้องการและความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบ นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่น โดยเราสามารถที่จะจัดการแก้ไข CSS ได้จาก CSS Style Panel โดยที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ในเรื่องการเขียน CSS เลย นอกจากเรื่องของการจัดการ CSS แล้วเรามาดูทีเด็ดของ Adobe Dreamweaver CS5 ว่ามีอะไรเด็ด ดังนี้
1. การติดตั้งเว็บไซต์อย่างเรียบง่าย สิ่งนี้ทำให้เราสามารถจัดการเว็บไซต์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยที่เราไม่ต้องกรอกข้อมูลเว็บไซต์มากมายเหมือนแต่ก่อน 
2. มี CSS layouts เริ่มต้น ช่วยให้มือใหม่หัดเขียน CSS หรือมือเก่าขั้นเทพ เขียน CSS ได้ตามมาตรฐานกำหนด ในการพัฒนาเว็บไซต์ 
3. Live View โดยเราสามารถที่จะใช้ความสามารถ Live View ในการทดสอบ PHP ซึ่งถือเป็น Side Server Script ได้ ทำให้เราสามารถทดสอบระบบในแต่ละสเตจได้ง่ายๆ คล้ายกับทดสอบ HTML 
4. Code Hinting ถ้าคุณเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์จำเป็นที่จะต้องใช้ JavaScript หรือ PHP ในเวอร์ชั่นนี้มีระบบ Code Hinting ที่บอกใบ้การเขียนโค้ดของคุณ ได้สนุกและง่ายยิ่งขึ้น 
5. รองรับ CSS Adobe Dreamweaver CS5 รองรับการทำงาน CSS โดยสามารถจัดการแสดงหรือไม่แสดงได้ด้วยตัวโปรแกรม Adobe Dreamweaver CS5 โดยไม่ต้องพึงพิง Web Browser 
6. ทำงานร่วมกับ Adobe BrowserLab นับเป็นความสามารถใหม่ที่เก็บไว้นาน จากห้องแล็บสู่การใช้งานจริง ทำให้นักพัฒนาสามารถทดสอบเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นในสิ่งแวดล้อมของ Web Browser ต่างๆ ในแต่ละรุ่น อาทิเช่น FireFox2,3, IE 6,7,8 หรืออื่นๆ ด้วย CS Live ที่สามารถทดสอบแบบไดนามิกส์ ทั้งที่เป็นเว็บไซต์ที่ออนไลน์อยู่ หรือเว็บที่กำลังพัฒนาในเครื่องของเรา ก็สามารถใช้งาน Adobe BrowserLab ได้





วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

iPhone 4

iPhone 4



In 2007, Apple's chief executive, Steven P. Jobs, introduced the iPhone, which instantly became one of the most talked-about consumer products ever. Thousands of customers lined up to be the first to buy the phones, which featured computing and Wi-Fi capabilities, along with a crisp, computer-like display on an innovative touch screen. Rivals rushed phones with similar features onto the market.

Three years later, seeking to fend off intensifying competition from Google and others in the smartphone business, Apple in 2010 introduced a new version of the iPhone that includes a front-facing camera for video chats. The iPhone 4 became Apple’s most successful phone introduction yet and sales were expected to accelerate when Verizon offered its version of the iPhone.

The long-expected arrival of the iPhone on Verizon ended years of exclusivity for AT&T and was likely to upend the smartphone market in the United States. Consumer surveys suggested that demand for a Verizon iPhone is large, as many people have held off from buying an iPhone simply to avoid AT&T’s much-publicized network problems, which include spotty coverage and dropped calls.

Despite icy temperatures in New York on Feb. 10, 2011, people eager to buy the new iPhone filed into Apple and Verizon stores. Many noted, however, that the stores seemed to have prepared for a much larger crush of customers than they received. The muted enthusiasm was in sharp contrast to the initial introduction of the iPhone 4 on AT&T’s network in June 2010.

A Verizon iPhone could help sell millions of new devices, continuing the iPhone’s strong momentum. It may also become an obstacle to the rapid rise of Android devices, most of which are sold by Verizon Wireless. While the iPhone remains the best-selling smartphone in the United States, many handset makers sell devices running Google’s Android software. Collectively, those devices outsell the iPhone.

Verizon's iPhone version will work only on the carrier's current "3G" network even though the carrier has fired up a faster "4G" network in many cities. That super-fast wireless data network is available only to plug-in laptop modems for now, but Verizon will have smart phones for it by the summer of 2011.

Verizon's iPhone 4 has one feature AT&T's does not: It can act as a portable Wi-Fi "hot spot," connecting up to five laptops or other devices to Verizon's 3G network through Wi-Fi. It's a feature that's been offered on other smart phones, usually for an added monthly fee.

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

คำทำนายสงรานต์ นางสงกรานต์ปี 2554 ชื่อ กิริณีเทวี

คำทำนายสงรานต์

นางสงกรานต์ปี 2554 ชื่อ กิริณีเทวี

กระทรวงวัฒนธรรม เผยปฏิทินหลวงนางสงกรานต์ปี 54 ชื่อ กิริณีเทวี นั่งหลังช้าง หัตถ์ขวาจับตะขอ หัตถ์ซ้ายถือปืน พยากรณ์ปีนี้ดุ เกิดเหตุเภทภัยทั่วประเทศ ประชาชนเจ็บไข้ วัวควายล้มตาย ทหารมีชัย อาหารบริบูรณ์ นาคให้น้ำ 5 ตัวฝนตกโลกมนุษย์ 60 ห่าตลอดปี

น.ส.ทัศ ชล เทพกำปนาท นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ปฏิทินหลวงวันสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2554 สงกรานต์ปีใหม่ไทย นี้ตรงกับปีเถาะ นางสงกรานต์ มีนามว่า กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่ว งา พระหัตถ์ขวาทรงขอ พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จนั่งมาเหนือหลังกุญชร (ช้าง) เป็นพาหนะ วันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 เวลา 13 นาฬิกา 25 นาที 25 วินาที วันที่ 16 เมษายน เวลา 17 นาฬิกา 31 นาที 12 วินาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ เป็น 1373 วันศุกร์เป็นธงชัยและอธิบดี วันพฤหัสบดี เป็นอุบาทว์ วันอาทิตย์เป็นโลกาวินาศ น้ำฝนปีนี้ วันพุธ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 600 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 60 ห่า ตกในมหาสมุทร 120 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 180 ห่า ตกในเขาจักรวาล 240 ห่า นาคให้น้ำ 5 ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ 6 ชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล 9 ส่วน เสีย 1 ส่วน ธัญญาหาร ผลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปถวี (ดิน) น้ำงามพอดี

นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ สวธ. กล่าวอีกว่า จากคำประกาศสงกรานต์ดังกล่าวจะตรงกับคำทำนายและความเชื่อคนโบราณซึ่งจาก หนังสือตรุษสงกรานต์ของนายสมบัติ พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2553 ได้กล่าวถึงความเชื่อเกี่ยวเนื่องนางสงกรานต์เสด็จนั่งมาบนหลังช้าง วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันพฤหัสบดี วันเนาตรงกับวันศุกร์ และวันเถลิงศกตรงกับวันเสาร์ รวมคำทำนายว่าจะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตาย และเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ นอกจากนี้ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่และเจ้านาย แร้งกาจะเป็นโรคสัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แต่แม่หม้ายจะมีลาภ และบรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ส่วนคำทำนายของล้านนาบอกว่า ปีนี้ฝนจะตกเสมอต้นเสมอปลายชอบตามฤดูกาล ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จักมีอันตราย ช้างม้าวัวควายจักตายมากนัก ไพร่ราษฎรจักอยู่ดีมีสุข ขุนใหญ่ ปุโรหิต พระสงฆ์จักเป็นทุกข์ คนเกิดวันศุกร์มีเคราะห์ คนเกิดวันอาทิตย์มีโชค

“จาก คำทำนายค่อนข้างออกไปร้ายมากกว่าดี แต่นางสงกรานต์กิริณีเทวีนั่งมาบนหลังช้างซึ่งถือเป็นสัตว์ใหญ่ที่เป็นมงคล จะช่วยขับไล่สิ่งร้ายๆ ให้ออกไป และยังทัดดอกมณฑาเป็นดอกไม้ทิพย์อยู่บนสวรรค์ คนไทยโบราณเชื่อว่าจะช่วยพ้นวิกฤติจากหนักเป็นเบา เมื่อรวมกับภักษาหารที่เป็นถั่วงา ทางพืชผลข้าวปลาอาหารยังมีความสมบูรณ์อยู่ ส่วนคำทำนายที่ว่าทหารจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ก็น่าจะแสดงถึงความสงบสุขของบ้านเมืองในปีนี้ด้วย อย่างไรก็ตามคำทำนายดังกล่าวมาจากตำราตรุษสงกรานต์ ” น.ส.ทัศชล กล่าว

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

กินไข่ดาวไม่สุก ระวัง !!! อันตราย

กินไข่สุกๆ ดิบๆ ระวังมีโทษต่อร่างกาย

อาหาร ที่ทำจากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ยัดไส้ และอีกสารพัดเมนูไข่ คงจะคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราปรุงไข่แบบ สุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะ ไข่ดาว ไข่ลวก แทนที่จะได้ประโยชน์อาจเป็นโทษต่อร่างกาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ใน ไข่ 1 ฟอง ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน มีแต่โปรตีนอย่างเดียว ไข่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาดเดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้

โทษของไข่ดิบ
มีคนเข้าใจว่าการกินไข่ดินวันละฟองในตอนเช้าจะรักษาเสียงได้ดี ความจริงแล้วการกินไข่ดิบ
ทำให้ร่างกายได้รับธาตุบำรุงจากไข่เพียงครึ่งเดียว
ในไข่ดิบมีโปรตีนที่เป็นปฏิชีวนะอยู่ ถ้าเรากินไข่ดิบบ่อยๆ โปรตีนชนิดปฏิชีวนะที่สะสมอยู่ในร่างกายจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายได้รับ วิตามินB1 นอกจากนั้นถ้าไก่เป็นโรคไข่จะติดตามมาด้วย จึงอาจทำให้ผู้กินไข่ดิบติดโรคได้ จึงควรกินไข่ที่สุกเพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งหมดได้ ดังนั้น ไม่ควรกินไข่ดิบหรือไข่ครึ่งสุกครึ่งดิบเพื่อความปลอดภัยของ
ร่างกาย ส่วนในการทอดไข่ดาวนั้น ไม่ควรทอดเพียงด้านเดียว ควรพลิกทอดทั้ง 2 ด้าน เพื่อประกันว่าได้ฆ่าเชื้อโรคหมดแล้ว

การ กินไข่ดิบ หรือไข่ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆเช่น ไข่ดาว ไข่ลวก ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น "อัลบูลมิน" ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ ไม่ค่อยย่อย ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย "อัลบูลมิน"

นอก จากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ "อะวิดิน" ไปจับกับ "ไบโอติน" ในร่างกาย ซึ่ง "ไบโอ ติน" เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิว อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียวร่างกายจะไม่ได้ "ไบโอติน" ที่อยู่ในไข่แดง แถม "อะวิดิน" ก็ไปจับกับไบโอตินอีก สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่

ด้าน นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การกินไข่สุก ๆ ดิบ ๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์เต็มที่ แถมย่อยยาก และอาจมีเชื้อซาโมเนลลา หรือ อี.โคไล ที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร และที่สำคัญอาจจะไม่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก สรุปว่า กินไข่ดิบ ๆ สุก ๆ ไม่มีประโยชน์ สู้กินไข่สุกไม่ได้

ที่ผ่านมาสังคมไทยกลัวไข่มาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด พอพูดถึงไข่ปุ๊บ มองไข่ในเชิงลบ ว่า มีคอเลสเตอรอลสูง จริงอยู่ไข่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากด้วย แถมราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนประเภทอื่น ๆ

ก่อนที่จะกินไข่ ต้องดูก่อนว่า สุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไขมันในร่างกายไม่สูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่เป็นโรคเรื้อรังอะไร ผู้ใหญ่สามารถกินไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง แต่ถ้าไขมันในเลือดสูง มีภาวะโรคอ้วน ต้องให้แพทย์แนะนำ โดยสามารถกินได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือกินเฉพาะไข่ขาว ซึ่งไม่มีคอเลส เตอรอล แต่มีโปรตีน ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียน ไปจนถึงวัยอุดมศึกษา สามารถ รับประทานไข่ ได้วันละ 1 ฟอง สัปดาห์ละ 7 ฟอง เพราะต้องใช้พลัง งานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้ง ด้านร่างกายและ สติปัญญา

ถามว่ากินไข่อย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยหลักง่าย ๆ คือ
1.กิน ไข่ที่ปรุงสุกเท่านั้น 2.ควรกินไข่ไปพร้อม ๆ กับอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ควรกินไข่อย่างเดียว โดยเฉพาะการกินไข่ร่วมกับผักจะมีไฟเบอร์ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในไข่ได้ส่วน หนึ่ง 3.ควรกินไข่ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายเมนู คนที่มีภาวะไขมันในร่างกายสูง ควรหันมากินไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แทนไข่เจียวหรือไข่ดาว 4.เมื่อกินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูงในวันเดียวกัน เช่น กินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงกินข้าวขาหมู ปลาหมึก กุ้ง 5.กินไข่แล้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดภาวะ เสี่ยงต่อคอเลสเตอรอลสูงได้.



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2109189#ixzz1r6HrOzru

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

ตำนาน ปลาร้า

ตำนาน ปลาร้า

ใครชอบกินปลาร้าบ้าง? ยกมือขึ้น lol

"ปลาร้า" เป็นอาหารที่แพร่หลายในเอเชียอาคเนย์มีกินกันทุกแห่งในดิน แดนที่วัฒนธรรมมอญ-เขมร ได้เคยผ่านเข้าไป เมื่อ 2,000 ปี หรือ 3,000 ปีมาแล้ว

ทำไมคนโบราณจึงเกิดทำปล้าร้ากินกันขึ้นมา?

ตอบว่า เพราะธรรมชาติในหลายประเทศในเอเชียอาคเนย์อำนวย หรือบังคับให้ทำปลาร้า ภูมิภาคนี้ตกอยู่ในเขตมรสุม ในระหว่างต้นฝนก็มีน้ำมาก แต่พอเข้าต้นหน้าแล้ง น้ำก็เริ่มลด ระยะนี้ เป็นเวลาที่ปลาเล็กปลาน้อยขึ้นมากตมแก่งต่างๆ หรือตามแม่น้ำลำคลอง คนก็จับปลาเอามากิน แต่ปลามันมากเกินกว่าที่จะกินหมดได้ทัน จะทิ้งก็เสียดาย จึงเอาใส่เกลือเก็บไว้กินได้ตลอดปี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังใส่เกลือไม่ทัน ปลาเริ่มจะขึ้นและมีกลิ่น ถึงจะมีกลิ่นก็ยังใส่เกลือเก็บไว้กินจนได้เลยอร่อยเพราะกลิ่นปลา ต่อมาจะเอาปลามาทำปลาร้าจึงปล่อยให้ปลาขึ้นและเริ่มมีกลิ่น แล้วจึงเอามาใส่เกลือทำปลาร้า กลายเป็นวิธีทำปลาร้าที่ถูกต้องไป


- ที่ว่าปลาร้าเป็นเรื่องของวัฒนธรรมมอญ-เขมรนั้น พิสูจน์ได้ด้วยความจริง เพราะมอญ-เขมรทุกวันนี้ก็ยังกินปลาร้ากันอย่างเอกอุ คือเข้ากับข้าวเกือบทุกอย่าง ใช้กินเป็นประจำเหมือนคนไทยใช้น้ำปลา

ยำแตงกวาเมืองเขมรเขายังใส่ปลาร้า นอกจากนั้นก็ยังใส่แกงใส่ผัดอื่นๆอีกมาก


- ในเมืองไทย แถวๆอำเภอชั้นนอกของสุพรรณบุรีและตามอำเภอของอยุธยาที่ใกล้กับสุพรรณ คนไทยก็ยังใช้ทำกับข้าวแบบนี้ คือเจือปนไปทั่ว เพราะสุพรรณนั้นได้ตกอยู่ใต้อิทธพลวัฒนธรรมของมอญ ที่เรียกว่าทวาราวดีนั้นมา

แกงบอน,แกงบวน,แกงขี้เหล็ก เป็นกับข้าวมอญ เพราะเข้ากับปลาร้าทั้งนั้น ดินแดนอื่นๆ ที่เคยอยู่ใต้วัฒนธรรมมอญ-เขมร นั้นได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา ลาว เวียตนามนั้นมีปลาร้า ถึงจะผสมสับประรดลงไปแบบเค็ม หมากนัสก็ยังเป็นปลาร้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

ลาวเรียกปลาร้าว่า"ปลาแดก" ทำไม?

ตอบว่า "แดก" นั้น เป็นกิริยาอย่างหนึ่งในภาษาไทยแปลว่า อัดหรือยัดอะไรเข้าไปในภาชนะ เช่น ไห จนแน่นที่สุดเท่าที่จะอัดเข้าไปได้ คนที่ใช้กิริยาอย่างนี้ในการกินอาหาร จึงเรียกในภาษไทยว่า แดก อีกเช่นเดียวกัน พม่านั้นก็ยังมีมอญอยู่ จึงมีปลาร้ากิน ส่วนมาเลเซียนั้นวัฒนธรรมมอญ-เขมร เฉียดๆไป แต่ก็มีอะไรคล้ายๆปลาร้ากินเหมือนกัน

ปลาร้านั้นมีกลิ่น เพราะทำด้วยปลาที่เริ่มเน่า ปลาร้าจึงมีชื่อว่า เหม็นปลาร้าพันห่อด้วย ใบคาคาก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง นอกจากนั้น หากอะไรที่กลิ่นไม่ดี เราก็พูดกันว่า "มีกลิ่นทะแม่งๆ""ทะแม่ง" เป็นภาษามอญ แปลว่า ปลาร้า

ทางด้านโบราณคดี ปลาร้าจึงเป็นสิ่งกำหนดขอบเขตของวัฒนธรรมมอญ-เขมร ปลาร้าอยู่ที่ไหน วัฒนธรรมมอญ-เขมร เคยอยู่ที่นั่น และวัฒนธรรมมอญ-เขม่ร นั้น ยังมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงเหนือชีวิตของคนจำนวนมากในเอเซียอาคเนย์

การกินหมากที่เคยแพร่หลายไปทั่ว ก็เนื่องอยู่ในวัฒนธรรมนี้ มีขนบธรรมเนียมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการกินหมากอยู่มาก ภาษาเวียดนาม ปัจุบัน ก็เป็นภาษาที่อยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมรและอื่นๆอีกมาก

*** อย่าไปดูถูกปลาร้า ปลาร้ามีประโยชน์มากในทางโภชนาการ เพราะมีโปรตีนสูง เป็นประโยชน์แก่ผู้ยากไร้ หาแหล่งโปรตีนจากอื่น เช่น ทีโบนสเต็คไม่ได้ นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามิน K ซึ่งได้จากปลาเน่าหรือเริ่มจะเน่า.

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สุดยอดเลย!!! เรื่องจริงของแมลงสาบที่คุณต้องรู้!

อันดับที่ 10 ไข่แมงสาบ


แมลงสาบ วางไข่เป็นกลุ่ม กลุ่มละหลายฟอง และจะเชื่อมติดกันเป็นกลุ่มด้วยสารเหนียวมีลักษณะเป็ นแคปซูล หรือกระเปาะ รูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว (ootheca) รูปร่างลักษณะของแคปซูลจะแตกต่างกับไปไม่แน่นอนแล้วแ ต่ชนิดของ แมลงสาบ แมลงสาบ บางชนิดจะนำกระเปาะไข่ติดตัวไปด้วยจนไข่ใกล้จะฟักจึง ปล่อยออกจากลำตัว แต่บางชนิดอาจมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (parthenogenesis) ก็ได้ ลักษณะ การวางไข่ของ แมลงสาบ แตกต่างกัน บางชนิดจะวางไข่ตามซอกมุมหรือในดิน หรืออาจจะวางติดกับฝาผนังบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แมลงสาบหนึ่งตัว สามารถวางไข่กี่ฟองในชั่วชีวิตของมัน โดยเฉลี่ยแล้วแมลงสาบมีอายุ 180 วัน มันวางไข่เป็นกระเปาะ กระเปาะละ 30-40 ฟอง โดยชั่วชีวิตของมันจะออกได้ 6-8 ล็อก เมื่อคำนวณดูพบว่าแมลงสาบตัวเมียหนึ่งตัวสามารถกำเนิดลูกถึง 180 – 320 ตลอดชั่วชีวิตของมัน นับว่าเป็นแมลงที่ลูกดกจริงๆ

อันดับที่ 9 แมลงสาบต้นเหตุทำให้โลกร้อน


ข้อมูลนี้เป็นเรื่องจริง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าแมลงสาบผายลมออกมาเป็นก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ เฉลี่ยทุก 15 นาที หลังจากมันตายมันก็ปล่อยก๊าซมีเทนถึง 18 ชั่วโมง จากสถิตพบว่าผายลมที่แมลงปล่อยมีมากถึง 20 % ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดในโลก ด้วยเหตุนี้ทำให้แมลงสาบขึ้นบัญชีดำว่าเป็นตัวการใหญ ที่ทำให้เกิดโลกร้อน อย่างแท้จริง(นอกจากนี้ยังมีตัวการอีกชนิดคือปลวก ซึ่งปลวกทุกตัวจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมา เพราะการกัดกินไม้ทำให้เกิดก๊าซขึ้นในกระเพาะ มันจึง ผายลมออกมา)

อันดับที่ 8 ทำไมแมลงสาบตายมันจึงหงายท้อง?


แมลงสาบป่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับนกและสัตว์ตัวเล็กๆ อื่นๆ แต่เมื่อแมลงสาบมาอาศัยบ้านเรานั้น แน่นอนเรากินมันไม่ได้ ดังนั้นการกำจัดแมลงสาบคือการใช้เท้ากระทืบหรือเอาอะ ไรสักอย่างทับให้ไส้แตก และวิธีที่ฮิตที่สุดคือการใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไมเมื่อแมลงสาปโดนสารฆ่าแมลง นี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย ความจริงแล้ว แมลงสาบในธรรมชาติส่วนน้อยเท่านั้นที่หงายหลังตาย เพราะโดยทั่วไปแมลงสาบมักเป็นอาหารแก่สัตว์ต่างๆ ก่อนที่มันจะตายนั้นเอง แต่ เมื่อแมลงสาบมาอยู่บ้านมนุษย์ แมลงสาบไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออาศัยอยู่บนพื้นผิว เรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ โครงสร้างร่างกายของมันส่วนใหญ่สร้างมาเพื่ออาศัยอยู ในพื้นที่ขรุขระ มีเศษวัสดุอย่าง เช่น ใบไม้กิ่งไม้ กระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อมันมาอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งมีแต่พื้นเรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ จากก็จะทำให้มันมีโอกาสมากที่จะพลิกกลับลำตัวไม่ได้ เมื่อเผอิญหงายท้องไป

ดังนั้นอาจบอกได้ว่า บ้านใครที่สะอาดๆ แมลงสาบมีโอกาสจะตายเองมากกว่า ส่วน กรณีที่ว่าทำไมแมลงสาปโดนสารฆ่าแมลงนี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย เนื่องด้วยสารฆ่าแมลงส่งผลผลต่อระบบประสาทของแมลงสาบ โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Cholinesterase เอนไซม์ชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่สลาย Acetylcholine (ACh) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท เมื่อเอนไซม์ไม่ทำงาน มี ACh มากเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาต ขาของแมลงสาบจะงอเข้าหากัน เกิดเป็นความไม่สมดุล และทำให้แมลงสาบหงายท้องตายนั้นเอง

อันดับที่ 7 แมลงสาบอินเตอร์ (อยู่มันซะทุกทวีป)


คำว่าแมลงสาบมาจากภาษาสเปนคำว่า Cucaracha ส่วนภาษาอังกฤษแรกเริ่ม(ปี 1624)เขียนว่า Cacarootch แต่กระนั้นแมลงสาปนั้นมีอยู่ทั่วโลก ทุกทวีป ทั่วประเทศ จึงไม่น่าแปลกที่มันมีคำเรียกหลายภาษา เช่น ภาษาดัตซ์: kakkerlak m ,ฮิบรู:(jook) , ญี่ปุ่น: (gokiburi), มองโกเลีย: (joom), รัสเซีย: (tarakan), สวีเดน: kackerlacka, ตุรกี: hamam , อูดุ(Urdu)เป็นภาษาของชาวปากีสถานและอินเดียเหนือ

อันดับที่ 6 เสียงของแมลงสาบมาดากัสการ์


แมลงสาบไม่ใช่ทุกพันธุ์ที่จะบินได้ เช่น แมลงสาบมาดากัสการ์เป็นแมลงสาบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแ มลงสาบด้วยกัน ชื่อสามัญว่า “Madagascan Giant Hissing Cockroach” ที่มาของชื่อเนื่องจากมันชอบร้องเสียงดังในระหว่างกา รผสมพันธุ์ และเมื่อมันถูกรบกวน หรือต้องการสื่อสารกับพวกให้รู้ถึงอันตราย อย่าง ที่บอกคือความสามารถพิเศษแมลงสาบมาดากัสการ์คือเสียง โดยตัวเต็มวัยของทั้งสองเพศและตัวอ่อนในระยะหลังสามา รถทำเสียงได้ เสียงนั้นคล้ายเสียงขู่ของงู (hissing sound) อวัยวะที่ให้กำเนิดเสียงของแมลงสาบชนิดนี้อยู่ที่รูหายใจ (spiracle) จากด้านข้างของท้องปล้องที่ 4 ทั้งสองข้าง แมลงสาบยักษ์ทำเสียงเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสีก่อนผส มพันธุ์ แมลงสาบเพศผู้อาจใช้เสียงขู่เพื่อไล่ตัวผู้อื่นๆเพื่อแย่งตัวเมีย นอกจากนี้เสียงขู่ยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรู ธรรมชาติ

อันดับที่ 5 แมลงสาปหัวขาดแล้ว แต่ยังไม่ตาย


ด้วยลักษณะโครงสร้างของแมลงสาบ ทำให้มันค่อนข้างทนทานกับแรงกระแทกและอื่นๆอีกมากมาย บางครั้งก็เอาของหนักวางทับมัน มันก็ไม่ตาย และที่อึดยิ่งกว่านั้น คือ หัวขาดแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นอาทิตย์ ซึ่งน่าแปลกมากทำไมแมลงสาปโดนตัดหัวแล้วไม่ตาย แต่ในขณะที่มนุษย์โดนตัดหัวถึงตาย นักวิทยาศาสตร์ได้ให้คำอธิบายว่า เปรียบเทียบระหว่างคนและแมลงสาปโดนตัดหัวว่า คนเรานั้นเมื่อโดนตัดหัวจะเสียชีวิตทุกรายเพราะเสียเลือดแรงดันเลือดต่ำลง ทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนและสารอาหารเดินทางไปเลี้ย งเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ อีกประการหนึ่ง คนหายใจทางปากและจมูก มีสมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานที่สำคัญ เมื่อไม่มีศีรษะระบบหายใจก็หยุดทำงาน และไม่มีช่องทางสำหรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย

แต่ระบบร่างกายของแมลงสาบ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แมลงสาบไม่มีแรงดันโลหิตเหมือนคน มันไม่มีเครือข่ายเส้นเลือด หรือเส้นเลือดฝอยเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียน แมลงสาบใช้ระบบเส้นเลือดไหลเวียนแบบเปิด ซึ่งใช้มีแรงดันโลหิตน้อยมาก หลังจากแมลงสาบถูกตัดหัวขาดแล้ว แผลที่คอจะสมานอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่ไหลทะลักออกจนตาย แมลงสาบยังหายใจผ่านทางท่อหายใจขนาดเล็กที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่จำเป็นต้องใช้สมองควบคุมการหายใจ และเลือดไม่ได้เป็นตัวลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกาย แต่เนื้อเยื่อต่อตรงเข้ากับท่อหายใจโดยตรง

แมลงสาบยังเป็นสิ่งมี ชีวิตที่เรียกว่า สัตว์เลือดเย็น หมายความว่า กินอาหารน้อยกว่ามนุษย์ ดังนั้น ถ้ามันได้กินอาหารสักมื้อ มันสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์ ตราบใดที่มันไม่ถูกสัตว์นักล่าสวาปาม แค่มันทำตัวนิ่งเฉย ไม่เดินเพ่นพ่านให้ติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัส มาปลิดชีพ นอกจาก นี้ อวัยวะแต่ละส่วนของแมลงสาบยังมีกลุ่มเนื้อเยื่อประสา ทเฉพาะของตัวเอง คอยตอบสนองระบบประสาทพื้นฐาน ถึงจะไม่มีสมองร่างกายของมันยังทำงานพื้นๆ ได้ เช่น ยืน และขยับตัวได้เมื่อถูกแตะ และไม่ใช่แต่ลำตัวเท่านั้นที่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองได ้ แม้แต่หัวที่ขาดกระเด็นออกมาจากร่างกาย ยังสามารถขยับหนวดไปมาได้หลายชั่วโมงจนกว่าพลังงานหมด หรือถ้าเอาสารอาหารป้อนแล้วไปเลี้ยงในตู้เย็น หัวแมลงสาบยังขยับได้อีกนาน

อันดับที่ 4 แมลงสาบตัวการโรคภูมิแพ้


แมลงสาบเป็นตัวก่อโรคสำคัญหนึ่งของมนุษย์ คือโรคภูมิแพ้ โดยแมลงสาบจะปล่อยสาร คัดหลั่งจากตัว ไม่ว่าจะเป็นอึ หรือ อะไรก็ตามที่อยู่บนตัวมัน เป็น Allergen (สารก่อภูมิแพ้) ชั้นดี ดังนั้น เด็กที่อยู่บ้านสกปรกก็อาจจะเป็นภูมิแพ้ได้ง่าย ซึ่งภูมิแพ้นี้ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีโอกาสพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหอบหืดได้ แทบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคแพ้แมลงสาบ (Cockroach allery) มากขึ้นเรื่อยๆ โดยพบอัตราการเกิดโรคสูงเป็นอันดับสองรองจากโรคแพ้ไร ฝุ่น (แพ้ไรฝุ่นประมาณ 60% , แมลงสาบ 40%) อาการที่พบในผู้แพ้แมลงสาบ คือ หายใจไม่สะดวกหรือจับหืด (asthma) อันเนื่องมาจากการสูดดมสารแพ้ (cockroach allergens) เข้าไป ปัจจุบันนักวิจัยให้การยอมรับว่าแมลงสาบสามารถก่อให้ เกิดโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด และโรคแพ้อากาศ (rhinitis)

อันดับที่ 3 แมลงสาปเจ้าแห่งความเร็ว


มีการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเร็วที่สุดของแมลงสาบพันธุ์อเมริกันมีความ เร็ว เฉลี่ย 2.0 ไมล์ต่อชั่วโมง(75 เซนติเมตรต่อวินาที) ซึ่งหากเปลี่ยนเทียบกับสัตว์ใหญ่สักตัวละก็ มีวิ่งเร็วพอๆ กับเสือชีตาห์!!( 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ด้วยโครงสร้างที่เบา อีกทั้งสรีระที่แบนๆ ทำให้มันกระจายน้ำหนักได้ดี ดังนั้นเราจึงเห็นมันวิ่งเร็วมากจนตบแทบไม่ทัน แต่กระนั้นมันก็ชอบหลงทิศหลงทาง ต้องใช้หนวดและตาในการคลำหาเส้นทาง และมันจะปล่อยสารไว้ตามทางที่มันเดินเพื่อจะได้กลับไปที่เดิมได้เร็ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดหากเราจะเหยียบแมลงสาบ แล้วพบว่าแมลงสาบจะวิ่ง สะเปะสะปะ

อันดับที่ 2 แมลงสาบผู้รอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์


แมลงสาบมีชื่อเสียงมานานแล้วว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทนทายาด และมีการยืนกรานแล้วว่าแมลงสาบเป็นสิ่งมีชีวิตที่รอดชีวิตจากระเบิด นิวเคลียร์แน่นอน แต่กระนั้นเราก็ไม่สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเซลล์ของแมลงสาบอาจสามารถฆ่ารังสีที่เป็นตัวก่อมะเร็ง, หรืออาจเป็นเพราะมันสามารถทนอยู่กับสภาพกัมมันตรังสี ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้

อันดับที่ 1 แมลงสาบซอมบี้


Emerald roach wasp มีชื่อไทยว่าต่อสาบมรกต หรือต่อมณีรัตน์ เป็นเป็นต่อชนิดหนึ่งพบได้ในแถบ แอฟริกา อินเดียและหมู่เกาะแปซิฟิก มันจะแสวงหาแมลงซักตัวเพื่อเป็นที่พักตัวอ่อนให้กับมัน โดยเหยื่อที่มันชอบคือแมลงสาบ แม้แมลงสาบมันจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวมันหลายช่วงตัวก็ตาม ซึ่งมันก็จะเข้าไปโจมตีโดยการต่อยแล้วปล่อยสารพิษประสาทที่ชื่อ Octopamine ให้แมลงสาบ ส่งผลให้แมลงสาบเป็นอัมพาตแต่ไม่สามารถจะเดินได้ด้วยตัวเอง จากนั้นต่อจะสามารถบังคับหนวดของแมลงสาบให้เดินตามมันไปยังรังของมันได้ตาม ต้องการอย่างว่าง่าย (คล้ายจูงหมากลับบ้าน) เมื่อเข้ารังแล้วปล่อยไข่ไว้ในตัวมันแล้วมันก็จะเด็ด กินหนวดของเหยื่อของมัน อ๊ะ! เหยื่อยังไม่ตายนะจากนั้นมันก็จะฝังแมลงสาบไว้เพื่อเ ป็นอาหารให้ลูกมันซึ่ง เมื่อลูกฟักจากไข่ก็จะเริ่มกินอาหารก็คือเนื้อแมลงสาบ ซึ่งขณะนั้นแมลงสาบไม่สามารถทำอะไรได้ (แต่ดิ้นได้ เพราะยังไม่ยอมตาย – -) ก็จะทรมานกับการถูกกินทั้งเป็นและเป็นอาหารจนตัวอ่อนโตขึ้น ซึ่งแมลงสาบก็จะเหลือแต่ซากแล้วล่ะ (ยอมตายซะที

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การประหารชีวิตที่สยดสยองที่สุดในอดีต..

อันดับที่ 10 Bestiarii

9885.jpg

หมายถึงการส่งนักโทษไปอยู่ในสังเวียนของสิงโตครับ โดยที่นักโทษจะไม่มีอาวุธป้องกันตัวใดๆทั้งสิ้น มีแต่ตัวเปลือยเปล่าอย่างนั้นเลย แล้วก็ผู้ชมก็จะดูการละเล่นไป นักโทษก็จะพยายามกระ***กระสน สู้รัดฟัดเหวี่ยงกับสิงโตหรือสัตว์อื่นๆตามแต่ที่ผู้ คุมหามาให้ แม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้หนึ่งตัวอย่างลากเลือด ก็จะมีตัวที่สองและสามโผล่ออกมาไม่หมดไม่สิ้น นอกจากนั้น อาจมีการแสดงโชว์โดยแทนที่จะใช้นักโทษคนเดียว คราวนี้เทกระจาดเอานักโทษมาหมดแล้วก็ปล่อยฝูงสิงโต ออกมางาบอาหารบุฟเฟ่ต์ยาม เย็นจนอิ่มแปล้ไป


อันดับ 9 Colombian Necktie


เป็น การลงโทษซึ่งนักโทษไม่ทรมานเลย เพราะมันก็คือการเชือดคอหอยดีๆนี่เอง ส่วนวิธีการก็คือ เขาจะจับนักโทษแหงนคอขึ้นแล้วเชือดคอหอยซะ จากนั้นก็จะใช้มือล้วงเข้าไปแล้วดึงลิ้นออกมาให้แลบออกมาที่รอยแผลนั้น ลิ้นก็จะห้อยออกมาสีแดงสดเพราะเลือดย้อย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเรียกว่า เนคไท ยังไงล่ะค่ะ


อันดับ 8 Brazen Bull




เป็นการลงโทษสมัยก่อนซึ่งเจ้าคนคิดนี่คงจะแอบจิตอยู่บ้าง เพราะจุดประสงค์การออกแบบนั้นเหมือนเป็นการสนองความต้อง การของผู้ประดิษฐ์ เสียเองมากกว่า วิธีการคือ จับเอานักโทษมาใส่ในวัวเทียมที่ทำมาจากเหล็กจากนั้นก็จุดไฟข้างใต้ ความร้อนจะทำให้ข้างในวัวเทียมยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่(นึกถึงไก่อบหม้อดินประมาณ นั้น) เสียงของนักโทษก็จะร้องโหยหวนซึ่งทางออกเดียวของเสียงนั้นคือ ปากของวัวเทียมซึ่งทำเป็นทรงกระบอก เมื่อนักโทษร้องออกมาก็จะได้เสียง ที่มีเอกลักษณ์และคล้ายกับวัวร้อง นั่นคือสาเหตุว่าทำไมถึงประดิษฐ์เป็นรูปวัวครับ ในประวัติศาสตร์ มีคนเคยกล่าวถึงความโหดร้ายของเครื่องนี้ถึงขนาดที่ตนต้อง ปิดหูเพื่อจะได้ไม่ยินเสียงความทรมานของนักโทษซึ่งเสียงนั้นเล็ดลอดเพียงปาก ของวัวเทียมเท่านั้น


อันดับ 7 Flaying




ถ้าแปลตามตัวเลยก็คือการถลกหนังทั้งที่ยังเป็นๆอยู่ค่ะ โดยผู้ประหารนั้นจะใช้มีดที่คมกริบค่อยๆเลาะหนังออกมาอย่างบรรจงโดยที่หนัง นั้นจะติดเป็นผืนเดียวกัน นักโทษนั้นก็จะค่อยๆตายอย่างช้าจากภาวะน้ำใน ร่างกายไม่เพียงพอ หรืออาจจะติดเชื้อ(ถ้านักโทษอยู่นานพอน่ะนะ) แล้วหนังนั้นก็จะถูกนำไปแขวน ไว้กับผนังประจานไว้เพื่อแสดงถึงใครที่คิดแข็ง ข้อต่ออำนาจทางการเมือง


อันดับ 6 Scaphism



เป็นการลงโทษของชาวเปอร์เชียนสมัยโบราณ และมันก็ค่อนข้างจะซับซ้อนหน่อยโดยนักโทษจะถูกจับอดอาหารจนผอมและ ยัดเข้าไปในโพรงของต้นไม้ใหญ่ในสภาพเปลือย เปล่า และถูกมัดให้แขนขายื่นออกมา ข้างนอกโพรงต้นไม้ แล้วจากนั้นผู้คุมก็จะให้อาหารเพียงนมและน้ำผึ้ง ซึ่งจะทำให้นักโทษท้องเสีย และทาน้ำผึ้งไว้ตามมือและเท้าที่ยื่นออกมา เหตุครั้งนี้มีไว้เพื่อล่อแมลงเข้ามาตอมและกัดกินหรือวางไข่สร้างรังโดยที่ นักโทษ ไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนการที่ท้องเสียก็คืออุจจาระจะส่งกลิ่นและกระตุ้น ให้แมลงยิ่งเข้ามาอีก บางทีแมลงพวกนี้ก็จะมากินอุจจาระและวางไข่หรือชอนไชเข้าไปในก้นด้วย สุดท้ายนักโทษจะเกิดแผลเน่าเฟะและตายอย่างช้าๆจากการ ติดเชื้อ


อันดับ 5 กรอกปาก



อันนี้เป็นการลงโทษแบบหนึ่งค่ะเกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเหตุเกิดที่เมืองไทยนั้น แหละ สมัยนั้นทหารญี่ปุ่นเข้ามาในไทยและค่อนข้างกดขี่ข่มเหงมากค่ะ ซึ่งก็มีบทลงโทษสำหรับหัวขโมยเหมือนกัน เช่น ถ้าคนไหนขโมยของกิน ก็จะโดนจับเอาของอันนั้นยัดเข้าปาก หรือบางทีก็จะกรอกน้ำหรือน้ำมันเข้าไปในปาก จนเต็มกระเพาะหรือท้องป่องและ หายใจไม่ออก บางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องจากเกิดภาวะน้ำมาก เกินในร่างกาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่ตายก็มีครับ ซึ่งทหารก็จะใช้วิธีเอาออกมา หรือก็คือจะใช้เท้าเหยียบเข้าที่ท้องของหัวขโมยคนนั้นและก็อ้วกออกมา ซึ่งยังไงก็ตายค่ะ


อันดับ 4 Breaking wheel




อันนี้มีวิธีการลงโทษอยู่สองแบบครับ แบบ Indoor กับ Outdoor(หมายถึงทำในที่บ้านกับ ที่โล่งแจ้ง) โดยแบบแรกคือการตรึงนักโทษไว้บนล้อเกวียนจากนั้นก็ทำ การหมุนค่ะ เพียงแต่ว่าตรงพื้นข้างล่างนั้นจะเป็นซี่เหล็กแหลมนั บไม่ถ้วนขูดกรีดผิวหนัง และใบหน้าของนักโทษเมื่อผู้คุมหมุนซี่เกวียน และผู้คุมก็จะปรับระดับลดความสูงลงมาอีก ทำให้ขูดลึกกว่าเดิม และทำเช่นนี้จนกระทั่งนักโทษตาย อีกแบบนึงคือตรึงไว้กับซี่ล้อเกวียนครับ แล้วก็จับผึ่งตากแดดอดอาหารจนตาย หรือบางครั้งก็มีอีแร้งมาทึ้งกินเหมือนกัน


อันดับ 3 Ling Chi Ling chi



คือ การลงโทษของคนจีนครับ โดยการจับนักโทษมาแล้วก็เริ่มสับอวัยวะออกทีละชิ้นทีละชิ้น เริ่มจากปลายสุดก่อน แล้วไปส่วนอื่นๆซึ่งทำให้นักโทษตายช้าที่สุดแล้วจากนั้น จึงเริ่มสับที่คอของนักโทษและควักหัวใจออกมา


อันดับ 2 Sawing



แปล ตรงตัวค่ะ คือการเลื่อยอย่างช้าๆจนกว่าตัวจะขาดเป็นสองท่อน (ตามรูปนี้ไม่ใช่นะค่ะ) โดยจับนักโทษแขวนห้อยหัวไว้ แหกขาออกแล้วเอาเลื่อยมาวางพาดไว้ที่หว่างขา แล้วก็ทำการเลื่อยครับ คิดดูว่ากว่าจะตายนี่ ทรมานขนาดไหน


อันดับ 1 Hanging Drawing and Quartering




มัน คือการประหารสามครั้งโดย ที่นักโทษยังมีชีวิตอยู่(ยกเว้นอันที่สามที่เขาคงตายแล้วล่ะ)นั่นประกอบไป ด้วยการแขวนคอ โดยที่ผู้คุมจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนักโทษถูกจับแขวนคอนั้นไม่ใช่การกระตุกจนต้นคอหักตายนะครับ แต่เป็นการรัดคอจนกระทั่งใกล้จะหมดลมหายใจตาย ผู้คุมก็จะปล่อยตัว จากนั้นก็ลากนักโทษไปวางบนเขียงต่อหน้าประชาชี แล้วผู้คุมเบอร์ 2 ก็ทำหน้าที่ชำแหละควักเอาตับไตไส้พุงออกมาให้นักโทษคนนั้นดูต่อหน้าแม้ว่า สติจะเลอะเลือนบ้างก็ตาม ถ้าเป็นผู้ชายก็จะโดนตอนแล้วเอามาให้ดูด้วยซึ่งผู้คุมก็จะเริ่มการจุดไฟเผา เครื่องในเหล่านั้น ทั้งหมดนี้ทำในเวลาอัน รวดเร็วและทำต่อหน้านักโทษคนนั้นซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ และหายใจอย่างรวยริน เมื่อนักโทษตาย หรือ อาจจะยังไม่ตาย ก็จะตัดหัวและตัวแยกเป็น4ส่วนค่ะ นั่นคือการลงโทษแบบ 3 in 1