วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สุดยอดเลย!!! เรื่องจริงของแมลงสาบที่คุณต้องรู้!

อันดับที่ 10 ไข่แมงสาบ


แมลงสาบ วางไข่เป็นกลุ่ม กลุ่มละหลายฟอง และจะเชื่อมติดกันเป็นกลุ่มด้วยสารเหนียวมีลักษณะเป็ นแคปซูล หรือกระเปาะ รูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว (ootheca) รูปร่างลักษณะของแคปซูลจะแตกต่างกับไปไม่แน่นอนแล้วแ ต่ชนิดของ แมลงสาบ แมลงสาบ บางชนิดจะนำกระเปาะไข่ติดตัวไปด้วยจนไข่ใกล้จะฟักจึง ปล่อยออกจากลำตัว แต่บางชนิดอาจมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (parthenogenesis) ก็ได้ ลักษณะ การวางไข่ของ แมลงสาบ แตกต่างกัน บางชนิดจะวางไข่ตามซอกมุมหรือในดิน หรืออาจจะวางติดกับฝาผนังบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แมลงสาบหนึ่งตัว สามารถวางไข่กี่ฟองในชั่วชีวิตของมัน โดยเฉลี่ยแล้วแมลงสาบมีอายุ 180 วัน มันวางไข่เป็นกระเปาะ กระเปาะละ 30-40 ฟอง โดยชั่วชีวิตของมันจะออกได้ 6-8 ล็อก เมื่อคำนวณดูพบว่าแมลงสาบตัวเมียหนึ่งตัวสามารถกำเนิดลูกถึง 180 – 320 ตลอดชั่วชีวิตของมัน นับว่าเป็นแมลงที่ลูกดกจริงๆ

อันดับที่ 9 แมลงสาบต้นเหตุทำให้โลกร้อน


ข้อมูลนี้เป็นเรื่องจริง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าแมลงสาบผายลมออกมาเป็นก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ เฉลี่ยทุก 15 นาที หลังจากมันตายมันก็ปล่อยก๊าซมีเทนถึง 18 ชั่วโมง จากสถิตพบว่าผายลมที่แมลงปล่อยมีมากถึง 20 % ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดในโลก ด้วยเหตุนี้ทำให้แมลงสาบขึ้นบัญชีดำว่าเป็นตัวการใหญ ที่ทำให้เกิดโลกร้อน อย่างแท้จริง(นอกจากนี้ยังมีตัวการอีกชนิดคือปลวก ซึ่งปลวกทุกตัวจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมา เพราะการกัดกินไม้ทำให้เกิดก๊าซขึ้นในกระเพาะ มันจึง ผายลมออกมา)

อันดับที่ 8 ทำไมแมลงสาบตายมันจึงหงายท้อง?


แมลงสาบป่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับนกและสัตว์ตัวเล็กๆ อื่นๆ แต่เมื่อแมลงสาบมาอาศัยบ้านเรานั้น แน่นอนเรากินมันไม่ได้ ดังนั้นการกำจัดแมลงสาบคือการใช้เท้ากระทืบหรือเอาอะ ไรสักอย่างทับให้ไส้แตก และวิธีที่ฮิตที่สุดคือการใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไมเมื่อแมลงสาปโดนสารฆ่าแมลง นี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย ความจริงแล้ว แมลงสาบในธรรมชาติส่วนน้อยเท่านั้นที่หงายหลังตาย เพราะโดยทั่วไปแมลงสาบมักเป็นอาหารแก่สัตว์ต่างๆ ก่อนที่มันจะตายนั้นเอง แต่ เมื่อแมลงสาบมาอยู่บ้านมนุษย์ แมลงสาบไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออาศัยอยู่บนพื้นผิว เรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ โครงสร้างร่างกายของมันส่วนใหญ่สร้างมาเพื่ออาศัยอยู ในพื้นที่ขรุขระ มีเศษวัสดุอย่าง เช่น ใบไม้กิ่งไม้ กระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อมันมาอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งมีแต่พื้นเรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ จากก็จะทำให้มันมีโอกาสมากที่จะพลิกกลับลำตัวไม่ได้ เมื่อเผอิญหงายท้องไป

ดังนั้นอาจบอกได้ว่า บ้านใครที่สะอาดๆ แมลงสาบมีโอกาสจะตายเองมากกว่า ส่วน กรณีที่ว่าทำไมแมลงสาปโดนสารฆ่าแมลงนี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย เนื่องด้วยสารฆ่าแมลงส่งผลผลต่อระบบประสาทของแมลงสาบ โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Cholinesterase เอนไซม์ชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่สลาย Acetylcholine (ACh) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท เมื่อเอนไซม์ไม่ทำงาน มี ACh มากเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาต ขาของแมลงสาบจะงอเข้าหากัน เกิดเป็นความไม่สมดุล และทำให้แมลงสาบหงายท้องตายนั้นเอง

อันดับที่ 7 แมลงสาบอินเตอร์ (อยู่มันซะทุกทวีป)


คำว่าแมลงสาบมาจากภาษาสเปนคำว่า Cucaracha ส่วนภาษาอังกฤษแรกเริ่ม(ปี 1624)เขียนว่า Cacarootch แต่กระนั้นแมลงสาปนั้นมีอยู่ทั่วโลก ทุกทวีป ทั่วประเทศ จึงไม่น่าแปลกที่มันมีคำเรียกหลายภาษา เช่น ภาษาดัตซ์: kakkerlak m ,ฮิบรู:(jook) , ญี่ปุ่น: (gokiburi), มองโกเลีย: (joom), รัสเซีย: (tarakan), สวีเดน: kackerlacka, ตุรกี: hamam , อูดุ(Urdu)เป็นภาษาของชาวปากีสถานและอินเดียเหนือ

อันดับที่ 6 เสียงของแมลงสาบมาดากัสการ์


แมลงสาบไม่ใช่ทุกพันธุ์ที่จะบินได้ เช่น แมลงสาบมาดากัสการ์เป็นแมลงสาบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแ มลงสาบด้วยกัน ชื่อสามัญว่า “Madagascan Giant Hissing Cockroach” ที่มาของชื่อเนื่องจากมันชอบร้องเสียงดังในระหว่างกา รผสมพันธุ์ และเมื่อมันถูกรบกวน หรือต้องการสื่อสารกับพวกให้รู้ถึงอันตราย อย่าง ที่บอกคือความสามารถพิเศษแมลงสาบมาดากัสการ์คือเสียง โดยตัวเต็มวัยของทั้งสองเพศและตัวอ่อนในระยะหลังสามา รถทำเสียงได้ เสียงนั้นคล้ายเสียงขู่ของงู (hissing sound) อวัยวะที่ให้กำเนิดเสียงของแมลงสาบชนิดนี้อยู่ที่รูหายใจ (spiracle) จากด้านข้างของท้องปล้องที่ 4 ทั้งสองข้าง แมลงสาบยักษ์ทำเสียงเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสีก่อนผส มพันธุ์ แมลงสาบเพศผู้อาจใช้เสียงขู่เพื่อไล่ตัวผู้อื่นๆเพื่อแย่งตัวเมีย นอกจากนี้เสียงขู่ยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรู ธรรมชาติ

อันดับที่ 5 แมลงสาปหัวขาดแล้ว แต่ยังไม่ตาย


ด้วยลักษณะโครงสร้างของแมลงสาบ ทำให้มันค่อนข้างทนทานกับแรงกระแทกและอื่นๆอีกมากมาย บางครั้งก็เอาของหนักวางทับมัน มันก็ไม่ตาย และที่อึดยิ่งกว่านั้น คือ หัวขาดแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นอาทิตย์ ซึ่งน่าแปลกมากทำไมแมลงสาปโดนตัดหัวแล้วไม่ตาย แต่ในขณะที่มนุษย์โดนตัดหัวถึงตาย นักวิทยาศาสตร์ได้ให้คำอธิบายว่า เปรียบเทียบระหว่างคนและแมลงสาปโดนตัดหัวว่า คนเรานั้นเมื่อโดนตัดหัวจะเสียชีวิตทุกรายเพราะเสียเลือดแรงดันเลือดต่ำลง ทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนและสารอาหารเดินทางไปเลี้ย งเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ อีกประการหนึ่ง คนหายใจทางปากและจมูก มีสมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานที่สำคัญ เมื่อไม่มีศีรษะระบบหายใจก็หยุดทำงาน และไม่มีช่องทางสำหรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย

แต่ระบบร่างกายของแมลงสาบ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แมลงสาบไม่มีแรงดันโลหิตเหมือนคน มันไม่มีเครือข่ายเส้นเลือด หรือเส้นเลือดฝอยเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียน แมลงสาบใช้ระบบเส้นเลือดไหลเวียนแบบเปิด ซึ่งใช้มีแรงดันโลหิตน้อยมาก หลังจากแมลงสาบถูกตัดหัวขาดแล้ว แผลที่คอจะสมานอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่ไหลทะลักออกจนตาย แมลงสาบยังหายใจผ่านทางท่อหายใจขนาดเล็กที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่จำเป็นต้องใช้สมองควบคุมการหายใจ และเลือดไม่ได้เป็นตัวลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกาย แต่เนื้อเยื่อต่อตรงเข้ากับท่อหายใจโดยตรง

แมลงสาบยังเป็นสิ่งมี ชีวิตที่เรียกว่า สัตว์เลือดเย็น หมายความว่า กินอาหารน้อยกว่ามนุษย์ ดังนั้น ถ้ามันได้กินอาหารสักมื้อ มันสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์ ตราบใดที่มันไม่ถูกสัตว์นักล่าสวาปาม แค่มันทำตัวนิ่งเฉย ไม่เดินเพ่นพ่านให้ติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัส มาปลิดชีพ นอกจาก นี้ อวัยวะแต่ละส่วนของแมลงสาบยังมีกลุ่มเนื้อเยื่อประสา ทเฉพาะของตัวเอง คอยตอบสนองระบบประสาทพื้นฐาน ถึงจะไม่มีสมองร่างกายของมันยังทำงานพื้นๆ ได้ เช่น ยืน และขยับตัวได้เมื่อถูกแตะ และไม่ใช่แต่ลำตัวเท่านั้นที่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองได ้ แม้แต่หัวที่ขาดกระเด็นออกมาจากร่างกาย ยังสามารถขยับหนวดไปมาได้หลายชั่วโมงจนกว่าพลังงานหมด หรือถ้าเอาสารอาหารป้อนแล้วไปเลี้ยงในตู้เย็น หัวแมลงสาบยังขยับได้อีกนาน

อันดับที่ 4 แมลงสาบตัวการโรคภูมิแพ้


แมลงสาบเป็นตัวก่อโรคสำคัญหนึ่งของมนุษย์ คือโรคภูมิแพ้ โดยแมลงสาบจะปล่อยสาร คัดหลั่งจากตัว ไม่ว่าจะเป็นอึ หรือ อะไรก็ตามที่อยู่บนตัวมัน เป็น Allergen (สารก่อภูมิแพ้) ชั้นดี ดังนั้น เด็กที่อยู่บ้านสกปรกก็อาจจะเป็นภูมิแพ้ได้ง่าย ซึ่งภูมิแพ้นี้ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีโอกาสพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหอบหืดได้ แทบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคแพ้แมลงสาบ (Cockroach allery) มากขึ้นเรื่อยๆ โดยพบอัตราการเกิดโรคสูงเป็นอันดับสองรองจากโรคแพ้ไร ฝุ่น (แพ้ไรฝุ่นประมาณ 60% , แมลงสาบ 40%) อาการที่พบในผู้แพ้แมลงสาบ คือ หายใจไม่สะดวกหรือจับหืด (asthma) อันเนื่องมาจากการสูดดมสารแพ้ (cockroach allergens) เข้าไป ปัจจุบันนักวิจัยให้การยอมรับว่าแมลงสาบสามารถก่อให้ เกิดโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด และโรคแพ้อากาศ (rhinitis)

อันดับที่ 3 แมลงสาปเจ้าแห่งความเร็ว


มีการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเร็วที่สุดของแมลงสาบพันธุ์อเมริกันมีความ เร็ว เฉลี่ย 2.0 ไมล์ต่อชั่วโมง(75 เซนติเมตรต่อวินาที) ซึ่งหากเปลี่ยนเทียบกับสัตว์ใหญ่สักตัวละก็ มีวิ่งเร็วพอๆ กับเสือชีตาห์!!( 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ด้วยโครงสร้างที่เบา อีกทั้งสรีระที่แบนๆ ทำให้มันกระจายน้ำหนักได้ดี ดังนั้นเราจึงเห็นมันวิ่งเร็วมากจนตบแทบไม่ทัน แต่กระนั้นมันก็ชอบหลงทิศหลงทาง ต้องใช้หนวดและตาในการคลำหาเส้นทาง และมันจะปล่อยสารไว้ตามทางที่มันเดินเพื่อจะได้กลับไปที่เดิมได้เร็ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดหากเราจะเหยียบแมลงสาบ แล้วพบว่าแมลงสาบจะวิ่ง สะเปะสะปะ

อันดับที่ 2 แมลงสาบผู้รอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์


แมลงสาบมีชื่อเสียงมานานแล้วว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทนทายาด และมีการยืนกรานแล้วว่าแมลงสาบเป็นสิ่งมีชีวิตที่รอดชีวิตจากระเบิด นิวเคลียร์แน่นอน แต่กระนั้นเราก็ไม่สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเซลล์ของแมลงสาบอาจสามารถฆ่ารังสีที่เป็นตัวก่อมะเร็ง, หรืออาจเป็นเพราะมันสามารถทนอยู่กับสภาพกัมมันตรังสี ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้

อันดับที่ 1 แมลงสาบซอมบี้


Emerald roach wasp มีชื่อไทยว่าต่อสาบมรกต หรือต่อมณีรัตน์ เป็นเป็นต่อชนิดหนึ่งพบได้ในแถบ แอฟริกา อินเดียและหมู่เกาะแปซิฟิก มันจะแสวงหาแมลงซักตัวเพื่อเป็นที่พักตัวอ่อนให้กับมัน โดยเหยื่อที่มันชอบคือแมลงสาบ แม้แมลงสาบมันจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวมันหลายช่วงตัวก็ตาม ซึ่งมันก็จะเข้าไปโจมตีโดยการต่อยแล้วปล่อยสารพิษประสาทที่ชื่อ Octopamine ให้แมลงสาบ ส่งผลให้แมลงสาบเป็นอัมพาตแต่ไม่สามารถจะเดินได้ด้วยตัวเอง จากนั้นต่อจะสามารถบังคับหนวดของแมลงสาบให้เดินตามมันไปยังรังของมันได้ตาม ต้องการอย่างว่าง่าย (คล้ายจูงหมากลับบ้าน) เมื่อเข้ารังแล้วปล่อยไข่ไว้ในตัวมันแล้วมันก็จะเด็ด กินหนวดของเหยื่อของมัน อ๊ะ! เหยื่อยังไม่ตายนะจากนั้นมันก็จะฝังแมลงสาบไว้เพื่อเ ป็นอาหารให้ลูกมันซึ่ง เมื่อลูกฟักจากไข่ก็จะเริ่มกินอาหารก็คือเนื้อแมลงสาบ ซึ่งขณะนั้นแมลงสาบไม่สามารถทำอะไรได้ (แต่ดิ้นได้ เพราะยังไม่ยอมตาย – -) ก็จะทรมานกับการถูกกินทั้งเป็นและเป็นอาหารจนตัวอ่อนโตขึ้น ซึ่งแมลงสาบก็จะเหลือแต่ซากแล้วล่ะ (ยอมตายซะที

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การประหารชีวิตที่สยดสยองที่สุดในอดีต..

อันดับที่ 10 Bestiarii

9885.jpg

หมายถึงการส่งนักโทษไปอยู่ในสังเวียนของสิงโตครับ โดยที่นักโทษจะไม่มีอาวุธป้องกันตัวใดๆทั้งสิ้น มีแต่ตัวเปลือยเปล่าอย่างนั้นเลย แล้วก็ผู้ชมก็จะดูการละเล่นไป นักโทษก็จะพยายามกระ***กระสน สู้รัดฟัดเหวี่ยงกับสิงโตหรือสัตว์อื่นๆตามแต่ที่ผู้ คุมหามาให้ แม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้หนึ่งตัวอย่างลากเลือด ก็จะมีตัวที่สองและสามโผล่ออกมาไม่หมดไม่สิ้น นอกจากนั้น อาจมีการแสดงโชว์โดยแทนที่จะใช้นักโทษคนเดียว คราวนี้เทกระจาดเอานักโทษมาหมดแล้วก็ปล่อยฝูงสิงโต ออกมางาบอาหารบุฟเฟ่ต์ยาม เย็นจนอิ่มแปล้ไป


อันดับ 9 Colombian Necktie


เป็น การลงโทษซึ่งนักโทษไม่ทรมานเลย เพราะมันก็คือการเชือดคอหอยดีๆนี่เอง ส่วนวิธีการก็คือ เขาจะจับนักโทษแหงนคอขึ้นแล้วเชือดคอหอยซะ จากนั้นก็จะใช้มือล้วงเข้าไปแล้วดึงลิ้นออกมาให้แลบออกมาที่รอยแผลนั้น ลิ้นก็จะห้อยออกมาสีแดงสดเพราะเลือดย้อย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเรียกว่า เนคไท ยังไงล่ะค่ะ


อันดับ 8 Brazen Bull




เป็นการลงโทษสมัยก่อนซึ่งเจ้าคนคิดนี่คงจะแอบจิตอยู่บ้าง เพราะจุดประสงค์การออกแบบนั้นเหมือนเป็นการสนองความต้อง การของผู้ประดิษฐ์ เสียเองมากกว่า วิธีการคือ จับเอานักโทษมาใส่ในวัวเทียมที่ทำมาจากเหล็กจากนั้นก็จุดไฟข้างใต้ ความร้อนจะทำให้ข้างในวัวเทียมยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่(นึกถึงไก่อบหม้อดินประมาณ นั้น) เสียงของนักโทษก็จะร้องโหยหวนซึ่งทางออกเดียวของเสียงนั้นคือ ปากของวัวเทียมซึ่งทำเป็นทรงกระบอก เมื่อนักโทษร้องออกมาก็จะได้เสียง ที่มีเอกลักษณ์และคล้ายกับวัวร้อง นั่นคือสาเหตุว่าทำไมถึงประดิษฐ์เป็นรูปวัวครับ ในประวัติศาสตร์ มีคนเคยกล่าวถึงความโหดร้ายของเครื่องนี้ถึงขนาดที่ตนต้อง ปิดหูเพื่อจะได้ไม่ยินเสียงความทรมานของนักโทษซึ่งเสียงนั้นเล็ดลอดเพียงปาก ของวัวเทียมเท่านั้น


อันดับ 7 Flaying




ถ้าแปลตามตัวเลยก็คือการถลกหนังทั้งที่ยังเป็นๆอยู่ค่ะ โดยผู้ประหารนั้นจะใช้มีดที่คมกริบค่อยๆเลาะหนังออกมาอย่างบรรจงโดยที่หนัง นั้นจะติดเป็นผืนเดียวกัน นักโทษนั้นก็จะค่อยๆตายอย่างช้าจากภาวะน้ำใน ร่างกายไม่เพียงพอ หรืออาจจะติดเชื้อ(ถ้านักโทษอยู่นานพอน่ะนะ) แล้วหนังนั้นก็จะถูกนำไปแขวน ไว้กับผนังประจานไว้เพื่อแสดงถึงใครที่คิดแข็ง ข้อต่ออำนาจทางการเมือง


อันดับ 6 Scaphism



เป็นการลงโทษของชาวเปอร์เชียนสมัยโบราณ และมันก็ค่อนข้างจะซับซ้อนหน่อยโดยนักโทษจะถูกจับอดอาหารจนผอมและ ยัดเข้าไปในโพรงของต้นไม้ใหญ่ในสภาพเปลือย เปล่า และถูกมัดให้แขนขายื่นออกมา ข้างนอกโพรงต้นไม้ แล้วจากนั้นผู้คุมก็จะให้อาหารเพียงนมและน้ำผึ้ง ซึ่งจะทำให้นักโทษท้องเสีย และทาน้ำผึ้งไว้ตามมือและเท้าที่ยื่นออกมา เหตุครั้งนี้มีไว้เพื่อล่อแมลงเข้ามาตอมและกัดกินหรือวางไข่สร้างรังโดยที่ นักโทษ ไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนการที่ท้องเสียก็คืออุจจาระจะส่งกลิ่นและกระตุ้น ให้แมลงยิ่งเข้ามาอีก บางทีแมลงพวกนี้ก็จะมากินอุจจาระและวางไข่หรือชอนไชเข้าไปในก้นด้วย สุดท้ายนักโทษจะเกิดแผลเน่าเฟะและตายอย่างช้าๆจากการ ติดเชื้อ


อันดับ 5 กรอกปาก



อันนี้เป็นการลงโทษแบบหนึ่งค่ะเกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเหตุเกิดที่เมืองไทยนั้น แหละ สมัยนั้นทหารญี่ปุ่นเข้ามาในไทยและค่อนข้างกดขี่ข่มเหงมากค่ะ ซึ่งก็มีบทลงโทษสำหรับหัวขโมยเหมือนกัน เช่น ถ้าคนไหนขโมยของกิน ก็จะโดนจับเอาของอันนั้นยัดเข้าปาก หรือบางทีก็จะกรอกน้ำหรือน้ำมันเข้าไปในปาก จนเต็มกระเพาะหรือท้องป่องและ หายใจไม่ออก บางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องจากเกิดภาวะน้ำมาก เกินในร่างกาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่ตายก็มีครับ ซึ่งทหารก็จะใช้วิธีเอาออกมา หรือก็คือจะใช้เท้าเหยียบเข้าที่ท้องของหัวขโมยคนนั้นและก็อ้วกออกมา ซึ่งยังไงก็ตายค่ะ


อันดับ 4 Breaking wheel




อันนี้มีวิธีการลงโทษอยู่สองแบบครับ แบบ Indoor กับ Outdoor(หมายถึงทำในที่บ้านกับ ที่โล่งแจ้ง) โดยแบบแรกคือการตรึงนักโทษไว้บนล้อเกวียนจากนั้นก็ทำ การหมุนค่ะ เพียงแต่ว่าตรงพื้นข้างล่างนั้นจะเป็นซี่เหล็กแหลมนั บไม่ถ้วนขูดกรีดผิวหนัง และใบหน้าของนักโทษเมื่อผู้คุมหมุนซี่เกวียน และผู้คุมก็จะปรับระดับลดความสูงลงมาอีก ทำให้ขูดลึกกว่าเดิม และทำเช่นนี้จนกระทั่งนักโทษตาย อีกแบบนึงคือตรึงไว้กับซี่ล้อเกวียนครับ แล้วก็จับผึ่งตากแดดอดอาหารจนตาย หรือบางครั้งก็มีอีแร้งมาทึ้งกินเหมือนกัน


อันดับ 3 Ling Chi Ling chi



คือ การลงโทษของคนจีนครับ โดยการจับนักโทษมาแล้วก็เริ่มสับอวัยวะออกทีละชิ้นทีละชิ้น เริ่มจากปลายสุดก่อน แล้วไปส่วนอื่นๆซึ่งทำให้นักโทษตายช้าที่สุดแล้วจากนั้น จึงเริ่มสับที่คอของนักโทษและควักหัวใจออกมา


อันดับ 2 Sawing



แปล ตรงตัวค่ะ คือการเลื่อยอย่างช้าๆจนกว่าตัวจะขาดเป็นสองท่อน (ตามรูปนี้ไม่ใช่นะค่ะ) โดยจับนักโทษแขวนห้อยหัวไว้ แหกขาออกแล้วเอาเลื่อยมาวางพาดไว้ที่หว่างขา แล้วก็ทำการเลื่อยครับ คิดดูว่ากว่าจะตายนี่ ทรมานขนาดไหน


อันดับ 1 Hanging Drawing and Quartering




มัน คือการประหารสามครั้งโดย ที่นักโทษยังมีชีวิตอยู่(ยกเว้นอันที่สามที่เขาคงตายแล้วล่ะ)นั่นประกอบไป ด้วยการแขวนคอ โดยที่ผู้คุมจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนักโทษถูกจับแขวนคอนั้นไม่ใช่การกระตุกจนต้นคอหักตายนะครับ แต่เป็นการรัดคอจนกระทั่งใกล้จะหมดลมหายใจตาย ผู้คุมก็จะปล่อยตัว จากนั้นก็ลากนักโทษไปวางบนเขียงต่อหน้าประชาชี แล้วผู้คุมเบอร์ 2 ก็ทำหน้าที่ชำแหละควักเอาตับไตไส้พุงออกมาให้นักโทษคนนั้นดูต่อหน้าแม้ว่า สติจะเลอะเลือนบ้างก็ตาม ถ้าเป็นผู้ชายก็จะโดนตอนแล้วเอามาให้ดูด้วยซึ่งผู้คุมก็จะเริ่มการจุดไฟเผา เครื่องในเหล่านั้น ทั้งหมดนี้ทำในเวลาอัน รวดเร็วและทำต่อหน้านักโทษคนนั้นซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ และหายใจอย่างรวยริน เมื่อนักโทษตาย หรือ อาจจะยังไม่ตาย ก็จะตัดหัวและตัวแยกเป็น4ส่วนค่ะ นั่นคือการลงโทษแบบ 3 in 1


วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตำนาน ดอกกุหลาบ กับความหมายดี ๆ

เพื่อนๆ เคยได้ยินคำเปรียบเปรยที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเปรียบเหมือน ดอกกุหลาบ ไหม แล้วเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมต้องเปรียบเป็น ดอกกุหลาบ วันนี้เรามี บทความ ความรู้ ตำนาน กุหลาบ เรื่องน่าอ่าน เกร็ดความรู้ ของ ดอกกุหลาบ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแต่ บทความ ความรู้ เรื่องน่าอ่าน เกร็ดความรู้ เรื่อง ตำนาน ดอกกุหลาบ จะเป็นอย่างไร เราไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

Rose


เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง "ดอกกุหลาบ" เพราะดอกกุหลาบนั้นแม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามรวมถึงกลิ่นที่หอมชวนดมแต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่ายๆ

กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า"Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นจะมีกลิ่นหอมชวนดม โดยมันจะมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ และมีอยู่หลายชนิดด้วย

กุหลาบ


ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก

โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

กุหลาบ

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตามแต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่างๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

กุหลาบ

แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้าเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

โดยดอกกุหลาบนั้นสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่างทีเดียว อาทิ

กุหลาบ

สีกุหลาบสื่อความหมาย

สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สีส้มสื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม

กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

กุหลาบ
จำนวนกุหลาบสื่อความหมาย

1 ดอก รักแรกพบ
2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ดอก ฉันรักเธอ
7 ดอกคุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอกขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอกความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอกคุณจะแต่งงานกับฉันไหม
999 ดอกฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย

กุหลาบ

ความหมายอื่น

กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) "เธอช่างมีเสน่ห์งามเหลือเกิน"

กุหลาบตูมสีแดง "ฉันเริ่มรักเธอแล้วจ้ะ"

กุหลาบบานสีแดง "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"

กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

กุหลาบตูมสีขาว "เธอช่างไร้เดียงสาน่าทนุถนอมเหลือเกิน ฉันรักเธอ"

กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว "เสน่ห์ของเธอมันเริ่มลดน้อยถอยลงแล้วนะจ๊ะ"

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่น่าสนใจของของดอกกุหลาบ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อัลมอนด์สุดยอด 'ผู้พิทักษ์หัวใจ -

ถ้าเอ่ยถึง “อัลมอนด์” หลายคนคงจะชื่นชอบกินถั่วชนิดนี้กันใช่ไหมจ๊ะ เพราะยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อย พูดถึงแล้วก็อยากกินขึ้นมาทันทีเลย ซึ่งก็มีหลายคนคิดว่ากินอัลมอนด์แล้วจะทำให้อ้วน!! ขอบอกว่าไม่จริงเลยจ้ะ แถมมันยังเป็น “ผู้พิทักษ์หัวใจ” ของเราอีกด้วย

เด็กดีดอทคอม :: อัลมอนด์สุดยอด ผู้พิทักษ์หัวใจ


รู้กันบ้างรึเปล่าจ๊ะว่าการกินอัลมอนด์ในปริมาณวันละ 1 หยิบมือ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพและหัวใจของเราเป็นอย่างมาก เพราะภายในอัลมอนด์มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายของเรามากมาย ทั้งกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยว และเชิงซ้อน ที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อัลมอนด์มักจะถูกเรียกว่า “ผู้พิทักษ์หัวใจ”

นอกจากนี้อัลมอนด์ยังมีไฟเบอร์ โปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้า3 อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง และเส้นผมให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเก่า แถมการกินถั่วชนิดนี้ยังช่วยเรื่องความสวยความงามได้อีกด้วย เพราะมันจะเข้าไปช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยต่างๆ ได้ อ๊ะๆ ยังไม่หมดนะจ๊ะ มันยังสามารถลดการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ด้วย