วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีปฏิบัติตัวเองสู่คุณคนใหม่

อย่าปล่อยให้เป็นเพียงแต่ปีที่ "ใหม่" แต่เราควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคน "ใหม่" ทั้งกายและใจด้วย

ปีใหม่ทั้งที เราจึงขอประมวล 10 กรรมวิธีที่ควรทำ เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่คนใหม่ภายใต้ฟ้าใหม่ และหนึ่งในการปฏิวัติตัวเองใหม่คือ การหาเวลาท่องเที่ยวเหมือนอย่างพระเอก แมทธิว แม็กคอนาเฮย์ ที่ชื่นชอบไปไหนไกล ๆ โดยขี่รถอาร์วีสะเทินบกสะเทินน้ำเล่นทั่วชายหาดเป็นที่สนุกสนาน หรือดีไซเนอร์สาว สเตลล่า แม็กคาร์ตนีย์ ที่เปลี่ยนตัวเองไปกินมังสวิรัติ และ ลิซ เฮอร์ลีย์ กวินเน็ธ พัลโทรว์ มาดอนน่า ที่คลั่งไคล้การเล่นพิลาทีสเป็นอย่างมาก

1.ขับถ่ายให้ได้ทุกเช้าก่อน 7 โมง

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับขับถ่ายคือตี 5-7 โมงเช้า เพราะช่วงนี้เป็นเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ ถ้าปล่อยให้เวลาล่วงมา ของเสียจากลำไส้ใหญ่จะถูกบีบตัวผ่านลำไส้เล็ก กลับมาถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารอีกครั้งหนึ่ง และของเสียหรืออุจจาระนั้นจะมีแก๊สเน่าเสีย ที่เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดจะทำให้เลือดไม่สะอาด

ข้อควรระวัง : ถ้าอั้นอุจจาระจนถึงเที่ยงหรือบ่าย ร่างกายจะรู้สึกง่วง เพลีย เพราะเลือดไม่สะอาดจะไหลไปเลี้ยงหัวใจ และเมื่อเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ก็จะขับของเสียออกมาทางผิวหนังและลมหายใจ ทำให้มีกลิ่นตัวและกลิ่นปากโดยไม่รู้ตัว


2.หม่ำอาหารเช้าด้วยโฮลเกรน

สถาบันมะเร็งแห่งเมืองมะกันเขาค้นคว้าออกมาแล้ว ว่าการกินโฮลเกรนและอาหารที่มีกากใยมาก จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ถึง 49% หนำซ้ำคนที่กินธัญพืชสม่ำเสมอ จะลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งทวารหนักอีกด้วย

ข้อควรระวัง : อย่ากินอาหารที่มีกากใยมากเกินไป เพราะจะทำให้บวมน้ำและมีลมในท้อง ฉะนั้น ควรกินอย่างค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า


3.เช็กสุขภาพในช่องปาก

ถ้าสุขภาพในช่องปากไม่ดี เช่น ฟันผุ ปริทันต์ ฯลฯ เราอาจป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยถึง 70% ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพช่องปาก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ยังนิยมกินขนมหวานและน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง อันนำไปสู่ปัญหาโรคในช่องปาก

ข้อควรระวัง : ถ้ารู้ตัวว่าป่วย เช่น เบาหวาน ควรบอกทันตแพทย์ให้รู้ เพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไป


4.เล่นพิลาทีส สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

ซึ่งหลักของพิลาทีสคือ การออกกำลังกายที่ดึงเอาศูนย์พลังที่มีอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของร่างกาย หรือช่วงท้องมาใช้ ผู้เล่นต้องพุ่งความสนใจไปที่จุดกึ่งกลางของร่างกาย แล้วทำใจให้สงบก่อนเกร็งกำลัง ไม่ก็ยก เหยียด ยืดตัว หรือยืดแขนขา ซึ่งการฝึกพิลาทีสเป็นประจำ จะช่วยในเรื่องการยืดกล้ามเนื้อและสลายไขมัน นอกจากนั้น ยังทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายมีความสมดุล กระฉับกระเฉง ยืดหยุ่น และแข็งแรง

ข้อควรระวัง : คนที่มีปัญหาด้านร่างกายควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการฝึก


5.อบซาวน่า สัปดาห์ละครั้ง

สาวออฟฟิศที่วัน ๆ นั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้เลือดใต้ผิวหนังหมุนเวียนช้าลง ส่งผลให้เกิดรอยเหี่ยวย่นไปจนถึงการสะสมเซลลูไลต์บริเวณขา แต่เมื่อได้เข้าอบซาวน่าแล้ว จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวเมื่อถูกความร้อน และหดตัวเมื่ออบเสร็จ การขยายและหดตัวของหลอดเลือดอย่างนี้นี่เอง ที่ช่วยออกกำลังกายให้แก่หลอดเลือด นอกจากนี้ ความร้อนจากการอบซาวน่ายังช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย เพราะร่างกายได้ขจัดเหงื่อและของเสียออกจากตัว ทำให้เนื้อตัวสะอาดและรู้สึกโปร่งโล่งเบาขึ้น

ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยโรคติดเชื้อรุนแรง ไข้หวัดใหญ่ โรคไต รวมทั้งความดันเลือดและเส้นเลือดตีบตันควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุด

6.เรียนเต้นรำเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง

เรามักไม่ค่อยรู้ว่าการเต้นรำเพื่อสุขภาพ นอกจากจะทำให้เราแข็งแรงและมีสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้เรามีบุคลิกที่ดีขึ้นด้วย เพราะท่วงท่าในการเดินหรือยืนจะดูสง่า ซึ่งหลักการเต้น เพื่อสุขภาพจะใช้จังหวะดนตรีเข้ามาช่วย ฉะนั้น ถ้าเราตั้งใจจะเรียนเต้นรำเพื่อสุขภาพ ควรจัดสรรเวลาไว้สักครึ่งชั่วโมงถึง 45 นาทีต่อครั้ง เพราะการเต้นรำ เพื่อสุขภาพนี้ต้องอาศัยช่วงจังหวะการเต้นช้า ๆ เพื่อวอร์มอัพเป็นเวลา 5-10 นาที ต่อจากนั้น จะเป็นการเต้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเผาผลาญพลังงานใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที หลังจากนั้น จะเป็นการคูลดาวน์อีก 5-10 นาที

ข้อควรระวัง : ถ้าเริ่มต้นเต้นรำใหม่ ๆ อย่าฝืนร่างกายมากเกินไป ควรรู้ตัวว่าเราสามารถเต้นได้นานแค่ไหน แล้วค่อย ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการเต้นในภายหลัง

7.ชีพจรลงเท้า อย่างน้อยเดือนละครั้ง

ใครที่ยังจัดสรรเวลาไม่ลงตัว เพราะมัวแต่ติดแหง็กอยู่กับงานประจำ เราอยากบอกคุณค่ะว่า การหาเวลาเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยลดความเสี่ยงโรค Burn-Out จากการทำงานได้ เพราะการท่องเที่ยวจะทำให้ร่างกายและจิตใจของเราผ่อนคลาย

นอกจากนั้น การท่องเที่ยวยังให้ประโยชน์ด้านความทรงจำที่ดีแก่เรา เพราะการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัว จะทำให้เรามีความทรงจำที่แสนสุขและฝังใจไปตลอดชีวิต

ข้อควรระวัง : ควรหาข้อมูลสถานที่ที่เราจะไปให้พร้อม ว่าจุดไหนที่อาจเป็นอันตราย หรือถิ่นนั้น มีข้อห้ามหรือข้อควรปฏิบัติอย่างไร เพื่อความปลอดภัยและอรรถรสในการเดินทาง


8.เป็นแฟนพันธุ์แท้บร็อคโคลี่ และกะหล่ำปลีสด

ใคร ๆ ก็รู้ว่าการกินผักใบเขียว มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าเราหมั่นกินบร็อกโคลี่และกะหล่ำปลีด้วยแล้วละก็ จะยิ่งห่างไกลจากโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันรอสเวลล์พาร์คแคนเซอร์ แห่งเมืองมะกันศึกษาออกมาแล้วว่า ถ้าเราขยันกินผักสองชนิดนี้เดือนละ 3 ครั้ง จะยิ่งลดความเสี่ยงโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะลงถึง 40% เชียวล่ะ

ข้อควรระวัง : ควรล้างผักให้สะอาดเพราะอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ฉะนั้น ควรแช่ผักด้วยน้ำเกลือสักพักแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ไม่ก็หากะละมังเล็ก ๆ ใส่น้ำแล้วเติมน้ำส้มสายชู พอประมาณ และล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง จะช่วยขจัดยาฆ่าแมลงออกไปได้


9.หากิจกรรมที่ไม่เคยทำ และลองทำดู

นพ. มัยธัช สามเสน ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเคยกล่าวไว้ว่า นอกจากสมองของเราจะต้องคิดบวกอยู่เสมอเพื่อให้จิตใจเป็นสุขแล้ว เรายังควรให้สมองได้ฝึกทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยทำดู เพื่อเป็นการพัฒนาระบบความจำ เช่น ลองหัดเขียนหนังสือด้วยมือซ้าย ถ้าเป็นคนถนัดขวา หรือลองไปเรียนวาดรูป ทำอาหาร ร้องเพลง เต้นรำหรือเล่นเกมฝึกสมองอย่างหมากรุก หมากฮอส หรือปริศนาอักษรไขว้ นอกจากจะทำให้มีทักษะใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น แล้วยังเป็นคนที่มีความจำดีขึ้นด้วย

ข้อควรระวัง : หากิจกรรมที่เราสนใจจริง ๆ และเป็นกิจกรรมที่ไม่โลดโผนจนเสี่ยงต่อความปลอดภัย


10.ขยันกินถั่ว

เพราะถั่วเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เกลือแร่ และไฟเบอร์ นอกจากนั้น ยังอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวและไม่มีไขมันทรานส์ ฉะนั้น ถ้าหมั่นกินถั่วไม่ว่าจะเป็นถั่วอัลมอนด์ ถั่วลิสง ถั่วแม็กคาเดเมีย ถั่วพิสตาซิโอ ถั่ววอลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เฮเซลนัต ฯลฯ อยู่เสมอ ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้

ข้อควรระวัง : อย่ากินถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรือถั่วชนิดอื่น ๆ โดยไม่ผ่านการปรุงให้สุก เพราะพืชผักชนิดนี้จะมีสารพิษอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรากินสารพิษนี้เข้าไปก็จะยับยั้งการย่อยสลายสารอาหารประเภทโปรตีน ทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควรจะเป็

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

"ฮิสทีเรีย"

ฮิสทีเรีย


กับคำว่า ฮิสทีเรีย หลายคนที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มาก โดยเข้าใจกันว่า คนที่เป็นฮิสทีเรียคือ คนที่มีความต้องการทางเพศสูง

แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เรามาเข้าใจคนพวกนี้ให้ถูกต้องดีกว่า

พูดง่าย ๆ เลยนะคะ คำว่า ฮิสทีเรียมีอยู่สองแบบ แบบหนึ่งเป็น โรคประสาทฮิสทีเรีย อีกแบบหนึ่ง คือบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย ซึ่งอาจพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

จะพูดถึงคนที่มีบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรียก่อนนะคะ คนพวกนี้จะเป็นคนที่มีลีลา ท่าทางและมีการแสดงออกมากจนเหมือนเล่นละคร อาจมีทีท่าชายหูชายตา เชิญชวนรวยจริตและยั่วยวน เป็นลักษณะที่แสดงออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจ เหมือนจะเชิญชวนทอดสะพาน ให้เพศตรงข้าม ทำให้มักเข้าใจผิดว่า มีความปรารถนาทางเพศสูง ทั้ง ๆ ที่อาจมีความบกพร่องในด้าน ความรู้สึกทางเพศด้วยซ้ำ คนที่มีบุคลิกภาพแบบนี้จะมีความเป็นเด็กสูง ชอบเรียกร้องความสนใจอยู่เรื่อย ๆ จึงมีการแสดงออกทางอารมณ์ค่อนข้างมาก

ที่จริงคนเหล่านี้เป็นคนที่น่าเห็นอกเห็นใจค่ะ ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะขาดความรักในช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องการอย่างมากจึงทำให้โหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่มีความรักก็จะไม่รู้จักพอเหมือนกับถมเท่าไรก็ไม่เต็มสักที แต่เป็นความต้องการในเรื่องความรักนะคะ ไม่ใช่เป็นเรื่องของความใคร่อย่างที่ใคร ๆ คิดกัน

ดังนั้น ถ้าเจอใครสักคนที่มีท่าทางรวยจริต เสมือนจะเชิญชวนก็อย่าไปเอาเปรียบเขานะคะ ให้ความเมตตาและเห็นอกเห็นใจเขาดีกว่า และปฏิบัติกับเขาเหมือนกับที่ทำกับคนอื่นๆ ทั่ว ๆ ไปค่ะ

ส่วนโรคประสาทฮิสทีเรียมีอยู่สองแบบ

แบบแรก เรียกว่า คอนเวอร์ชัน รีแอคชั่น (conversion reaction) คนที่เป็นเวลามีความเครียด กังวลใจ หรือเกิดความขัดแย้งในจิตใจมาก ๆ จะเกิดอาการผิดปกติที่ระบบการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้ เช่น เป็นอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ชาที่แขนและขา พูดไม่มีเสียง พูดไม่ได้ ตามองไม่เห็น กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ซึ่งเป็นอาการที่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางร่างกาย หรือทางระบบประสาทแต่อย่างใด

แบบที่สอง เรียกว่า ดีสโซซิเอทีฟ (dissociative type) เช่น สูญเสียความจำในบางเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจจนไม่ต้องการรับรู้ จำชื่อตัวเองไม่ได้ จำเวลา สถานที่ บุคคลไม่ได้ โดยไม่ได้เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง หรือมีบุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม


ยกตัวอย่าง จากคนสุภาพเรียบร้อยก็กลายเป็นคนชอบ เฟลี้ด หรือดุดันเหี้ยมเกรียม พวกที่มีอาการผีเข้า ทรงเจ้าเข้าทรง ก็จัดเป็นโรคประสาทฮิสทีเรียประเภทนี้เช่นกัน แต่พวกที่แกล้งทำ ไม่ว่าจะแกล้งทำเพื่อจุดมุ่งหมายใดก็ตาม ไม่เกี่ยวกับโรคประสาทฮิสทีเรียนะคะ

ก็ทราบเกี่ยวกับเรื่องฮิสทีเรียกันพอสมควร ต่อจากนี้ไปเราคงไม่เข้าใจผิด และไม่เหมารวมว่าคนที่เป็นฮิสทีเรีย คือ คนที่มีความต้องการทางเพศสูง หรือหาว่าเป็นคนที่มักมากในกามอีกแล้วนะคะ และก็อย่าลืมให้ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจพวกเขาด้วยค่ะ

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

1. ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเปนเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว


2. กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเปนก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

3. มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

4. หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

5. จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ มื้อเช้าของคุณเป็นประจำ ผิวหน้าของคุณจะผ่องใสไร้สิวแน่นอน

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

6. ถั่วดำ มีสารต้านโรคโลหิตจาง และมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

7. บรอกโคลี ในดอกตูมของบรอกโคลีมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ 30 -50 เท่า



เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

8. สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งร้าย และให้พลังงานต่ำ มีวิตามินซีสูง

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

9. โยเกิร์ต เชื่อหรือไม่ว่าการที่ผู้หญิงรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย ช่วยลดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ถึง 50% เพราะจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อ ทั้งช่วยลดอาการอ่อนเพลียและทำให้สดชื่นแจ่มใส ต่อไปเห็นที่จะต้องรับประทานโยเกิร์ตทุกวันซะแล้ว

เด็กดีดอทคอม :: 10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว

10. ถั่วเหลือง ช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งมดลูก สาวๆที่อยากห่างไกลโรคนี้อย่าลืมรับประทาน นำเต้าหู้แกงจืดเต้าหู้ หรืออาหารอื่นๆที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบเป็นประจำ



วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับแก้ 'เมาค้าง'


สาเหตุหลักของอาการเมาค้าง คือร่างกายขาดน้ำ แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งการผลิตฮอร์โมนวาโซเพรส ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกาย เมื่อฮอร์โมนตัวนี้ลดลง คนเราก็ถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเยียวยาอาการ ซึ่งคำแนะนำนั้นไม่ใช่ "จังซี้มันต้องถอน!"

0 อย่ากินน้ำส้ม เพราะกรดจะไปสร้างความปั่นป่วนในกระเพาะ และอย่ากินเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น กาแฟ เพราะจะยิ่งทำให้ถ่ายเบามากขึ้น ร่างกายจะสูญเสียน้ำหนักเข้าไปอีก

0 กินโจ๊ก หรือขนมปังโฮลวีต เพราะอาหารพวกนี้จะปลดปล่อยพลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยฟื้นฟูระดับน้ำตาลในเลือด กล้วยก็ช่วยเสริมพลังงานเช่นกัน

0 ก่อนเข้านอนและเมื่อตื่นนอนจงดื่มน้ำมากๆ และเติมผงเกลือแร่ลงไปด้วย แอลกอฮอล์ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดตกวูบ เราจึงเกิดอาการปวดหัว ใจหวิวและหิว ผงเกลือแร่จะช่วยให้มีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีเกลือแร่ต่างๆ

0 อย่ากินของทอด ของมัน เพราะไขมันในปริมาณมากจะทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน

0 กินยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดหัว แต่ไม่ควรกินยาไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนและอาหารไม่ย่อย


วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีจัดการอารมณ์ไม่ดี


1. มองโลกในแง่ดี
เมื่อเรามีความคิดที่ทำให้ซึมเศร้า เช่น "ฉันทำวิชาเลขไม่ได้" ให้คิดใหม่ว่า

"ถ้าฉันได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้องฉันก็จะทำได้" แล้วไปหาครู ครูพิเศษ หรือให้เพื่อนช่วยติวให้


2. หาสมุดบันทึกสักเล่มไว้เขียนก่อนเข้านอนทุกวัน
ในสมุดบันทึกเล่มนี้ ห้ามเขียนเรื่องไม่ดี จงเขียนแต่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ตอนแรกอาจจะยากหน่อย
แต่ให้เขียนเรื่องอย่างเช่น มีคนแปลกหน้ายิ้มให้ ถ้าได้ลองตั้งใจทำ มันจะเปลี่ยนความคิดให้เรามองหาแต่เรื่องดีๆ

จากการศึกษาพบว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายมีอาการดีขึ้นหลังจากเริ่มเขียนบันทึกเรื่องดีๆ ได้เพียงสองสัปดาห์


3. ใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้เธอหัวเราะได้


4. ใส่ใจกับความรู้สึกของตนเองในเวลาแต่ละช่วงวัน
การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของตัวเองจะทำให้เราจับคู่งานที่เราต้องทำกับระดับ พลังงานในตัวได้อย่างเหมาะสม
เช่น ถ้าเรารู้สึกดีที่สุดตอนเช้าแสดงว่าตอนเช้าคือเวลาจัดการกับงานเครียดๆ เช่น ไปเจอเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเรา

หรือคุยกับครูที่เราคิดว่าให้เกรดเราผิด ถ้าปรกติเราหมดแรงตอนบ่าย ให้เก็บเวลาช่วงนั้นเอาไว้ทำกิจกรรม

ที่ไม่ต้องใช้พลังทางอารมณ์มาก เช่น อ่านหนังสือหรืออยู่กับเพื่อน อย่าทำอะไรเครียดๆ เวลาเหนื่อยหรือเครียด


5. สังเกตอารมณ์ตัวเองในเวลาช่วงต่างๆ ของเดือน
ผู้หญิงบางคนพบว่า ช่วงเวลาที่ตัวเองอารมณ์ไม่ดีสัมพันธ์กับรอบเดือน

6. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายช่วยให้เราแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายอย่างน้อยแค่วันละ 20 นาที
สามารถทำให้รู้สึกสงบและมีความสุขได้ การออกกำลังจะช่วยเพิ่มการผลิตเอ็นดอร์ฟีนของร่างกายด้วย อ็นดอร์ฟีนเป็นสารเคมีในร่างกาย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีและมีความสุขตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งยาเสพติด



7. รู้จักไตร่ตรองแยกแยะ


8. ฟังเพลง
งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า จังหวะของเสียงเพลงช่วยจัดระเบียบความคิดและความรู้สึกมั่นคงภายในจิตใจ
และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ



9. โทรหาเพื่อน
การขอความช่วยเหลือทำให้คนเรารู้สึกผูกพันกับคนอื่นและรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง และการโอบกอดช่วยให้
ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีออกมา ซึ่งจะช่วยให้เรารับมือกับอารมณ์ได้



10. อยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุข

อารมณ์ดีเป็นโรคติดต่อที่แพร่ได้เร็วมา เราจะเลียนแบบสีหน้า การแสดงออก กล้ามเนื้อ ท่าทาง
รูปแบบการพูด เพื่อให้เข้ากับคนที่เราอยู่ด้วยโดยที่เราไม่รู้ตัว

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล



แอปเปิ้ล ผลไม้ที่มีขายกันอย่างแพร่หลาย แต่คุณจะรู้ไหมว่า เจ้าแอปเปิ้ล นี้มีประโยชน์กับสุขภาพร่างกายของเราแค่ไหน

แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ "Red delicious" ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพ คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วยค่ะ

แอปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอปเปิ้ลพันธุ์ "Fuji" นั้น มีฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ แอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นขวัญใจคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็มีดี ไม่แพ้ใคร เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียว อย่างพันธุ์ "Granny Smith"นอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างอิลาสตินและคอลลาเจน ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง เป็นแอปเปิ้ล ที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากเพื่อนๆ เพราะแอปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ "Golden Delicious" มีสารเคอร์เซตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1997888#ixzz17VOuqolj

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ส่องกระจกบ่อยเข้าข่ายเป็นโรค

เตือนวัยรุ่นส่องกระจกบ่อย เสริมสวยพร่ำเพรื่อ อาจเข้าข่ายโรค BDD ต้องปรึกษาจิตแพทย์

เป็นธรรมดาที่เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น หนุ่มสาวหลายคนมักจะให้ความสำคัญกับความสวย ความหล่อและบุคลิกภาพมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะคอยเสริมสวย เสริมหล่อกันตลอดเวลา แต่หากการเสริมสวย เสริมหล่อนั้นพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็นก็คงต้องระวัง เพราะอาจเข้าข่ายอาการ 'โรคที่ไม่เป็นโรค' หรือ 'โซมาโตฟอร์ม' (Somatoform disorders) ซึ่งอาการของโรค คือ การเข้าใจของผู้ป่วยว่าเป็นโรค แต่เมื่อไปพบแพทย์กลับตรวจไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง อดีตนักวิจัยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ขณะนี้มีโซมาโตฟอร์มบางอย่างที่น่าสนใจ คือ 'Body Dysmorphic Disorder' หรือ BDD ผู้ป่วยจะมีความกังวลว่า มีความผิดปกติของผิวหนังหรืออวัยวะที่ไม่ได้สัดส่วน เช่น จมูก เปลือกตา และคิ้ว เป็นต้น แม้มีประชากรทั่วไปร้อยละ 1-2 เป็นโรค BDD แต่สติถิโรค BDD กลับสูงขึ้นชัดเจนในกลุ่มผู้ป่วยที่มาพบศัลยแพทย์ตกแต่งที่ร้อยละ 2 -7 และผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ผิวหนังที่ร้อยละ 9-15


ลักษณะอาการผู้ป่วย BDD จะมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ ชอบดูกระจกหรือหลีกเลี่ยงการดูกระจกไปเลย ชอบเปรียบเทียบอวัยวะที่ตนเองคิดว่าผิดปกติกับคนอื่น ชอบถามคนอื่นว่า ตา หู จมูกของตนเองปกติหรือพอดูได้หรือไม่ ชอบแต่งหน้า ทำผม ครั้งละนานๆ ใช้เวลาครุ่นคิดถึงรูปร่างหน้าตาตัวเองวันละ 1-3 ชั่วโมง บางคนไปทำศัลยกรรมซ้ำหลายครั้งแต่ก็ยังไม่พอใจ หรือบางคนก็หลีกเลี่ยงการเข้าสังคมโดยการหนีเรียนและหนีงาน โดยจากสถิติพบว่าโรคนี้มักเป็นเรื้อรัง และเริ่มเป็นในวัยรุ่น อายุระหว่าง 16 - 17 ปี พบผู้ป่วยโรคนี้เคยพยายามฆ่าตัวตายถึงร้อยละ 29 โดยพบในชายและหญิงเท่ากัน แต่ในชายพบว่าติดยาด้วยถึงร้อยละ 50

จากอาการของโรคดังกล่าว จึงมีการออกมาเตือนให้ผู้ปกครองและแพทย์เองจำเป็นต้องรู้จักกลุ่มอาการเหล่านี้ โดยแพทย์ต้องหลีกเลี่ยงการเสริมความงามให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ เนื่องจากการเสริมความงามไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐาน คือ เรื่องจิตใจ และการรักษาที่ดีที่สุดคือการปรึกษาจิตแพทย์ร่วมในการรักษา แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองควรทำความเข้าใจว่า โรคผิวหนังบางอย่างเป็นโรคที่แท้จริง เช่น โรคสิว ที่ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โดยพบว่าผู้ที่เป็นสิวบางรายแม้เป็นสิวเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้ารุนแรงพอกับคนที่เป็นโรคสะเก็ดเงินอย่างรุนแรงได้

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

3G คืออะไร



3G หรือ Third Generation
เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต

3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น


ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น


เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี


3G น่าสนใจอย่างไร

จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่


เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น


3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”


คุณสมบัติหลักของ 3G คือ

มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล

ซึ่ง การเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC



ทำไมเป็น 3.9G แต่ไม่เป็น 3G หรือ 4G แล้วเทคโนโลยี 3G กับ 3.9G มันต่างกันอย่างไร

3.9 จี เป็นการปรับปรุงจาก 3 จีที่จะวิ่งที่ความเร็ว 7.2 เมกะบิต ให้มีความเร็วเพิ่มสูงขึ้นเป็น 42 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ อุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคมจะครึกครื้น มีแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย

สรุปแล้ว 3.9 จี เร็วกว่า 3 จีหลายเท่าตัว แถมยังแซงหน้าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือเอดีเอสแอลที่หลายบ้านเชื่อมต่อผ่านโมเด็มด้วย

3 จีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเมืองไทย เพราะคนยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไม่ทั่วถึง จากปัจจุบันที่มีเพียง 3.2 ล้านเลขหมาย หากขยับมาเป็นบรอดแบรนด์ไร้สายยุค 3 จี และ ครอบคลุมทั่วประเทศจะเป็นช่องทางที่คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้มาก ขึ้นตามเป้าที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ตั้งเป้าไว้ที่ 80% ของประชากร

สำหรับคนที่กังวลด้านราคา คงไม่ต้องห่วงว่า 3 จี หรือ 3.9 จี จะราคาแพง เพราะผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจ และผู้ให้บริการต้องแข่งขันกันเพื่อให้บริการที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ บริโภค

ความเร็วที่มากขึ้นของ 3.9 จี จะเป็นโอกาสดีสำหรับผู้บริโภคที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ที่จะช่วยให้เยาวชนค้นหาข้อมูลมาเสริมการเรียน หรือระบบอี-เลิร์นนิ่ง ขณะเดียวกันก็จะมีแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เข้ากับความต้องการและการใช้ชีวิตของคนที่หลากหลาย