วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนาวนี้ระวัง..........ผิวอักเสบ


โรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic dermatitis) หากเกิดที่หนังศีรษะจะต่างจากรังแค (Dandruff) ตรงที่รังแคเป็นสะเก็ด เป็นขุยสีขาว หรือเทา และมีอาการคันหนังศีรษะ รังแคจะไม่มีอาการอักเสบบวมแดงที่หนังศีรษะเลย ส่วนโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณต่อมไขมัน จะมีอาการอักเสบของหนังศีรษะร่วมด้วย ถ้าเผลอไปแกะหรือเกาอาจมีน้ำเหลืองเยิ้ม หรือถ้าทิ้งไว้นานๆ ไม่รักษา สะเก็ดจะหนามากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้

โรคนี้ส่วนใหญ่มักพบในช่วงหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 18-40 ปี ในทารกระยะ 6เดือนแรก หรือในผู้สูงอายุก็พบได้เช่นกัน โดยพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าโรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับเชื้อ Pityrosporum ovale หรือ Pityrosporum orbiculare เป็นเชื้อยีสต์ที่อาศัยอยู่ในรูขุมขน กินไขมันและโปรตีนของผิวหนังเป็นอาหาร ซึ่งในคนที่เป็นโรคนี้จะพบเชื้อ Pityrosporum ovale มากขึ้นผิดปกติ ก่อให้เกิดการกระตุ้นการลอกตัวของผิวหนัง ปรากฏเป็นขุยเล็กๆ เนื่องจากเชื้อยีสต์นี้ เป็นเชื้อที่มีอยู่เป็นปกติ (Normal flora) จึงอาจมีโอกาสเป็นใหม่ได้อีกเสมอ

นอกจากนี้เชื้อ Pityrosporum ovale สามารถเปลี่ยนไขมันธรรมดาให้เป็นกรดไขมันได้ และพบว่าผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีผนังรูขุมขนไม่แข็งแรง เซลล์หนังกำพร้าบริเวณนั้นๆ จะหลุดลอกง่ายเนื่องจากขาดไขมันชนิด linoleic acid ทำให้เซลล์เหล่านี้หลุดลอกง่ายขึ้น เมื่อมีกรดไขมันมารบกวน ทำให้เกิดการอักเสบแบบเรื้อรังเป็นๆ หายๆแสงแดด ความร้อน ความหนาวเย็น อากาศแห้ง ความเป็นด่างของสบู่ และเครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์ สามารถกระตุ้นให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงและลอกเป็นขุยได้

การดูแลรักษาเมื่อเป็นโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน

1. การดูแลรักษา
โรคนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันและลดข้อแทรกซ้อนจากยาที่ใช้ในการรักษา เช่น ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ และยาทาลดเชื้อยีสต์ สำหรับยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ถ้าใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้เป็นสิว ผิวบาง เส้นเลือดขยาย และติดสเตียรอยด์ได้

2. การดูแลผิว
- การล้างหน้า ควรใช้สบู่ที่ไม่ระคายเคืองต่อผิว หรืออาจใช้น้ำเปล่าล้างหน้า ล้างหน้าด้วยความนุ่มนวล ไม่ควรล้างหน้าบ่อยจนเกินไป
- เลือกใช้ครีมชุ่มชื้นที่ไม่มีสารก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้ง่าย และเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว
- ควรเลือกใช้เครื่องสำอางชนิดที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย และไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงและลอกเป็นขุยได้
- ควรทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวหน้าจากการรบกวนจากรังสีในแสงแดด

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ร กับ ล กระดกลิ้นกันถูกต้องหรือเปล่า?


ทาง ศ.เกียรติคุณ ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตและนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประ เทศไทย กล่าวถึงการใช้ภาษาไทยใน "สื่อวิทยุกระจายเสียง" ว่า เวลานี้ภาษาไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ สาเหตุมาจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ไม่มีการดูแลหลักวิธีการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ทั้งที่สื่อมวลชนเป็นกลุ่มอาชีพที่มีบทบาทสำคัญต่อภาษาไทย ที่ควรเป็นต้นแบบในการใช้ภาษาไทยให้แก่สังคม จะเห็นได้ว่าคำไหนที่สื่อใช้ผิดจะส่งผลให้คนในสังคมใช้ผิดตาม ทำให้การใช้เป็นเรื่องปกติและกลายเป็นคำที่ถูกต้อง และคำใดที่สื่อไม่ได้หยิบมาใช้ คำภาษาไทยคำนั้นจะถูกลืมเช่นกัน
ทางด้าน ผศ.ดร.มณีปิ่น พรหมสุทธิรักษ์ คณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ปัญหาแรกที่พบในการใช้ภาษาไทยของสื่อวิทยุกระจายเสียง คือ การกระดกลิ้นพยัญชนะ ร.เรือ มากเกินไปจนกลายเป็นสำเนียงแขก และยังมีการใช้ภาษาที่ผิดกาลเทศะอีกหลายคำ เช่น คำว่า ดุษฎี ซึ่งมีความหมายถึงการยอมรับโดยพึงพอใจ แต่สื่อมักนำมาใช้กับการยอมรับผิด ขณะที่มีการออกเสียงคำว่า กากบาท ผิดเป็น กา-ละ-บาด เป็นต้น
สำหรับการใช้ภาษาไทยคำหนึ่ง ภาษาอังกฤษคำหนึ่ง สามารถใช้ได้แต่ต้องใช้ให้ถูกต้องตามความหมายและออกเสียงให้ชัดเจน โดยเฉพาะการอ่านชื่อเฉพาะหรือชื่อบุคคล ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษจะไม่มีวรรณยุกต์กำกับ ดังนั้นจำเป็นต้องศึกษาให้แน่ใจก่อน
ฟังวิทยุไป ก็แอบตกใจไปนะคะ เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ บางคำใช้ภาษาไทยได้ แต่ว่าก็ใช้ภาษาอังกฤษแทน บางครั้งก็ต้องดูความเหมาะสมด้วยนะคะ ส่วนเรื่องกระดกลิ้นนี่ ยังกระดกได้อย่างมั่นใจอยู่ค่ะ ลิ้นยังไม่แข็ง อิอิ ว่าแล้ว ชาวเด็กดีก็หันมาใช้คำให้ถูกต้อง และอ่านออกเสียงให้ถูกต้องกันและชัดเจนกันดีกว่านะคะ

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เกาะเกร็ด นนทบุรี


ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ หลังจากได้ดำเนินการขุดคลองมหาชัยได้แล้วเสร็จในปี จ.ศ.๑๐๘๓ แล้ว ในปีถัดมาได้มีพระราชดำริให้ขุดคลอง เตร็ดน้อย ลัดคุ้งปากคลองบางบัวทองซึ่งอ้อมมากให้เป็นเส้นตรง จากบริเวณใกล้ๆ ท่าเรือปากเกร็ด ตรงไปผ่านหน้า วัดสนามเหนือ วัดกลางเกร็ด ไปทางวัดเชิงเลนซึ่งแต่แรกขุดนั้นเป็นคลองลัดเกร็ด(หรือเตร็ดหมายถึงลำน้ำเล็กลัดเชื่อมลำน้ำสายใหญ่สายเดียวกัน ) นั้น มีขนาดกว้างเพียง ๖ วา ลึก ๖ ศอก ยาว ๒๙ เส้น แต่เนื่องจากแรงของกระแสน้ำที่ไหลพัดผ่านนั้นแรงมาก จึงได้พัดเซาะตลิ่งพังและขยายความกว้างขึ้นมา จนในปัจจุบันจึงได้กลายเป็น แม่น้ำลัดเกร็ด ไปแล้ว และพื้นที่บนแผ่นดินเดิมซึ่งมีลักษณะเป็นแหลมที่ยื่นออกไปโดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านเป็นรูปเกือกม้า ก็กลายเป็นเกาะไป จึงเรียกว่า เกาะเกร็ด ส่วนตรงปากทางที่ขุดก็เรียกว่า ปากเกร็ด

ด้วยประการฉะนี้ ความจริงปากเกร็ดนั้นเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง อาทิเช่นที่ วัดกู้ วัดตำหนักใต้ หรือ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ เป็นต้น และในละแวก ปากเกร็ด ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่นวัดบ่อ ท่าเรือปากเกร็ด ตลาดริมทางเท้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง วัดสนามเหนือและวัดกลางเกร็ด ถ้าจะข้ามไปยัง เกาะเกร็ด ก็จะได้ชมวัดวาอาราม พิพิธภัณฑ์ฯ ศูนย์การผลิตเครื่องปั้นดินเผา ชมสินค้าและวิถีชีวิตชาวมอญแถบนั้น ซึ่งอยู่กันอย่างเรียบง่ายและดำรงรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมเดิม ถ้าท่าน ล่องเรือ รอบๆ เกาะ ก็สามารถแวะบ้านขนมหวานในคลองบางบัวทองเพื่ออุดหนุน ขนมหวานแบบไทยๆ รสชาติอร่อยด้วย..

สำหรับชาวกรุงเทพ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง คือ เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เกาะเกร็ดเป็นเกาะขนาดใหญ่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นชุมชนที่เจริญมาตั้งแต่ ปลายสมัยอยุธยา วัดต่างๆ ที่สร้างขึ้นบนเกาะเป็นโบราณสถานที่สวยงามสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายทั้งสิ้น มีฐานะเป็นตำบลแบ่งเขตการปกครองเป็นหมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 7 หมู่บ้าน เกาะเกร็ดเกิดขึ้นจากการขุดคลองลัดลำน้ำเจ้าพระยาตรงส่วนที่เป็นแหลมยื่นไปตามความโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยา ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.2265 เรียกคลองนี้ว่า “คลองลัดเกาะน้อย” ต่อมากระแสน้ำได้เปลี่ยนทิศทางทำให้คลองขยายกว้างขึ้น เพราะถูกแรงของกระแสน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงกลายเป็นแม่น้ำและเกาะเกร็ดมีสภาพเป็นเกาะ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีชม...ฝนดาวตกลีโอนิดส์



นักดาราศาสตร์ประมาณการโอกาสเห็นฝนดาวตกลีโอนิดส์ในไทยสูงสุดช่วงเวลาราว 04.43 น.ของเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ อัตราความชุกที่ 100-500 ดวงต่อชั่วโมง!

นับเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่ง ฝนดาวตก ดูสวยงาม น่าสนใจ น่าตื่นเต้น และดูได้ง่ายด้วยตาเปล่า ท้าทายการศึกษา เรียนรู้และเข้าใจเรื่องของธรรมชาติเพิ่ม

สาเหตุของการเกิดฝนดาวตก เกิดจากดาวหางซึ่งเป็นก้อนน้ำแข็งที่ประกอบด้วยฝุ่นหินเกาะกลุ่มกันจำนวนมาก เมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ก้อนน้ำแข็งจะเกิดการระเหิด ทิ้งแนวฝุ่นหินเป็นสายธารยาว เมื่อโลกโคจรเข้าไปตัดกับสายธารดังกล่าวนี้ เศษฝุ่นหินก็จะเคลื่อนตัววิ่งเข้ามาในบรรยากาศของโลกด้วยความเร็วสูง และเกิดการเสียดสีจนลุกไหม้ปรากฏเป็นขีดแสงสว่างให้เราเห็น ที่เราเรียกว่า "ฝนดาวตก"

กรณี ฝนดาวตกลีโอนิดส์ หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโตนี้ เกิดจากการที่โลกโคจรผ่านเข้าไปในซากสายธารฝุ่นหินของดาวหาง 55 พี เทมเพล-ทัดเทิล ที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งโดยปกติ คาบการโคจรของดาวหางดวงนี้คือ 33.2 ปี ซึ่งในปีที่ครบรอบคาบการโคจรของดาวหาง เป็นการมาเติมเศษฝุ่นหินให้มากยิ่งขึ้น และเมื่อโลกโคจรผ่านเข้าไปในใจกลางสายธารของมัน ในปีนั้นโอกาสจะเกิดฝนดาวตกก็จะมีมากกว่าปีปกติ อย่างที่เราเรียกว่าปรากฏการณ์ "พายุฝนดาวตก"

จากบันทึกในอดีต ดังตัวอย่างใน ค.ศ.1966 ที่ฮาวาย ได้เกิดพายุฝนดาวตกที่มีอัตราการตกมากถึง 5-6 หมื่นดวงต่อชั่วโมง สำหรับชื่อของฝนดาวตกลีโอนิดส์ ก็มาจากการอ้างอิงกับแหล่งการเกิด คือ กลุ่มดาวสิงโต นั่นเอง คือแม้เราจะเห็นฝนดาวตกในทิศทางต่างๆ กัน แต่เมื่อเราลองลากเส้นย้อนกลับไปยังแหล่งการเกิดแล้ว ฝนดาวตกทุกดวงจะมาจากกลุ่มดาวสิงโต

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) อธิบายว่า ช่วงวันที่ 17-18 พฤศจิกายน แม้ไม่ใช่รอบปีของการเกิดพายุฝนดาวตกลีโอนิดส์ แต่จะมีโอกาสเห็นฝนดาวตกในอัตราความชุกมากกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากการคำนวณของนักดาศาสตร์หลายสำนัก พบว่า โลกจะโคจรตัดผ่านเศษซากสายธารฝุ่นหินของดาวหาง 55 พี เทมเพล-ทัดเทิล ถึงสองสายธารด้วยกัน ที่ทิ้งร่องรอยไว้ใน ค.ศ. 1466 และ 1533 โดยอัตราการตกราว 100-500 ดวงต่อชั่วโมง (อ้างอิงที่เมื่อกลุ่มดาวสิงโตมาอยู่ที่จุดกลางฟ้าเหนือศีรษะ) แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเห็นฝนดาวตกตลอดทั้งชั่วโมง และจำนวนฝนดาวตกที่เห็นก็ไม่ได้เห็นมากถึง 500 ดวง ตัวอย่างเช่น อัตราการตกที่ 400 ดวงต่อชั่วโมง เราเห็นแค่ช่วงเวลา 15 นาที นั่นคือ ในช่วงชั่วโมงนั้น เราจะเห็นดาวตกประมาณ 100 ดวง ซึ่งก็ถือว่ามากแล้ว"

ช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะมีโอกาสเห็นฝนดาวตกสูงสุดในครั้งนี้ ดร.ศรัณย์ชี้ชัดว่า ตั้งแต่ตีหนึ่งเป็นต้นไป แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ดาวตกลูกสวยๆ มักจะมาตอนประมาณห้าทุ่ม เป็นเวลาที่กลุ่มดาวสิงโตเพิ่งขึ้นจากขอบฟ้า คือจะเห็นเป็นไฟร์บอลล์ (ดาวตกดวงใหญ่) วิ่งพาดผ่านท้องฟ้าทิ้งร่องรอยให้เห็นเป็นลำสว่างทางยาวคล้ายรางรถไฟ ซึ่งความเร็วยังไม่สูงมาก ทำให้เราเห็นได้ง่าย สำหรับช่วงพีคสูงสุดของการตก นักดาศาสตร์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า คือเป็นเวลาประมาณ 04.43 น. ตามเวลาในไทยของเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน อัตราความชุกที่ 100-500 ดวงต่อชั่วโมง ซึ่งช่วงนั้นจะป็นเวลาที่ดาวสิงโตจะอยู่บริเวณกลางฟ้าพอดี นับเป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การชมมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของโอกาส เพราะถึงเวลาจริง เราอาจจะเห็นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้

เพื่อให้ได้อรรถรสของการชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิดส์ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา รังสิต ร่วมกับศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย ชวนเยาวชน ผู้สนใจสังเกตการณ์ ฝนดาวตกลีโอนิดส์ วันที่ 17 พฤศจิกายน เวลา 18.00 น. ถึงรุ่งเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หรือจะชมการแสดงในท้องฟ้าจำลอง เรื่อง "ฝนดาวตก" และชมภาพยนตร์ด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ เรื่อง "องค์ประกอบชีวิต" (ภาพยนตร์ที่ฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์) จัดแสดงและฉายในงานนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์อีกมากมาย สอบถามโทร.08-1571-1292 หรือ 0-2564-7000 ต่อ 1460

ฝนดาวตก เป็นความสวยงาม และเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมาก ได้เรียนรู้ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อื่นๆ ตามมามากมาย อย่างน้อย รู้ว่าจะศึกษาฝุ่นละอองรอบๆ ดวงอาทิตย์ ศึกษาวัตถุที่อยู่รอบๆ โลกว่ามีอะไรบ้าง" ทำให้เรารู้เพิ่มขึ้น

วิธีดูที่ดีที่สุดคือ การนอนหงายมองไปที่กลางฟ้าเหนือศีรษะ ฝนดาวตกมีลักษณะแสงสว่างวาบ เคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว จะพุ่งมาจากทุกทิศทาง มีสีสันสวยงาม เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลือง เพราะมีแร่ธาตุประกอบต่างๆ กัน เช่น แมกเนเซียม ทองแดง เหล็ก จึงให้สีที่แตกต่างกัน ปลายของดาวตกซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ จะทิ้งควันจางๆ เหมือนไอพ่น หากอยู่ในที่เงียบสงบ บางครั้งอาจได้ยินเสียงด้วย เรียกว่า โซนิกบูม และหากเป็นดาวตกขนาดใหญ่เมื่อเสียดสีกับบรรยากาศ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 วิธีเด็ด แก้หลับเวลากวดวิชา

9 วิธี “ทำอย่างไร...ถึงจะไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา”

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)
2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ
3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ
4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ

5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)
6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ
7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง
8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ
9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำมัน มาจากไหน ?


น้ำมันคือ ? ก่อนจะมาเป็นน้ำมันสำเร็จรูปที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ต้องผ่านกระบวนการกลั่นแยกจากน้ำมันดิบเสียก่อน น้ำมันดิบก็คือของเหลว ประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือเป็นสารกำมะถัน ไนโตรเจน และสารประกอบออกไซด์อื่น เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ที่ต้องใช้เวลานับล้านปี โดยมีความกดดันจากชั้นหิน ความร้อนใต้ผิวโลก และการสลายตัวของอนทรีย์สารตามธรรมชาติ จนทำให้ซากพืชซากสัตว์เหล่านั้นกลายเป้นสภาพเป้นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หรือที่เราเรียกกันชินปากว่า 'ปิโตรเลียม'


เมื่อมนุษย์เรา ขุด เจาะ ทะลวง เอาน้ำมันดิบขึ้นมาได้สำเร็จ ขั้นต่อไปคือ การเอาน้ำมันดิบไปผ่านกระบวนการกลั่นแยกเพื่อให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูป แต่ใช่ว่าปริมาณน้ำมันดิบทั่วทั้งโลกที่ขุดขึ้นมาเมื่อกลั่นแล้วจะมีสัดส่วปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเท่ากันทั้งหมด เพราะน้ำมันดิบแต่ละที่ก็จะมีคุณภาพแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของโรงกลั่นน้ำมันดิบแต่ละที่อีกด้วย


น้ำมันมาจากไหน? แหล่งน้ำมันดิบแหล่งใหญ่ของโลกก็คือแถบตะวันออกกลาง ข้อมูลปี 2551 พบว่า 60% หรือ 2 ใน 3 ของปริมาณสำรองน้ำมันของโลกที่ขุดพบแล้วอยู่ในตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศแถบนี้ผลิตน้ำมันได้ถึง 32% ของการผลิตทั้งโลกต่อวัน แต่กลับมีความต้องการเพียง 8% ของปริมาณที่ใช้ทั้งโลกเท่านั้น เหตุใดประเทศแถบตะวันออกกลางจึงมีแหล่งน้ำมันดิบมาก ขณะที่บางประเทศถึงไม่มีแหล่งน้ำมันดิบเลยล่ะ ? เนื่องจากกระบวนการเกิดน้ำมันดิบต้องอาศัยระยะเวลาและปัจจัยหลายอย่างผสมกัน เช่น บริเวณนั้นต้องมีสภาพทางธรณีวิทยาที่อำนวย ปริมาณของซากพืชซากสัตว์ที่สะสมตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ อุณภูมิ-ความร้อน-ความกดดันที่ช่วยย่อยสลายให้ซากสิ่งมีชีวิตหนาแน่น ก็เลยทำให้มีน้ำมันดิบมากเป็นพิเศษ ขณะที่ประเทศในบริเวณอื่นก็มีมากบ้าง น้อยบ้างผกผันตามปัจจัยที่กล่ามา


ประเทศไทยมีแหล่งน้ำมันหรือเปล่า? คำตอบคือ มี แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของประเทศ ไทยสามารถผลิตน้ำมันได้ 15% ของปริมาณที่ใช้ทั้งประเทศ ส่วนอีก 85% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แหล่งน้ำมันดิบในไทยจะอยู่ที่ แหล่งอำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ แหล่งสิริกิติ์ จ.กำแพงเพชร แหล่งน้ำมันกำแพงแสน จ.นครปฐม และ อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี แหล่งน้ำมันบึงม่วง และ บึงหญ้า จ.สุโขทัย แหล่งน้ำมันวิเชียรบุรี และศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ส่วนทางใต้ก็มีในอ่าวไทย อาทิ แหล่งเบญจมาศ ปัตตานี ทานตะวัน จัสมิน

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด


อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเอง มองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้

1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถ อยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่น ถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15 จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น

2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ

3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า..
มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบ และไหม้ของผิวหนัง
หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้น

ส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆ ก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100% ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง ควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันที ถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรคของเด็กฉลาด!!



มีโรคแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่น่าสนใจ


แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม (Asperger"s Syndrome)


โรคแปลกๆ ที่จะทำให้เกิดความผิดปกติในการเข้าสังคม ด้วยมีอาการหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าปกติฟังดูเหมือนว่าอาการของโรคนี้จะไม่รุนแรง หรือออกอาการโดดเด่นเหมือนกับการเป็นออทิสติก ดาวน์ซินโดรม หรือ ไฮเปอร์ ก็ตาม เพราะโรคนี้จะเกิดขึ้นกับเด็กปกติ แถมเป็นเด็กที่ เฉลียวฉลาด สติปัญญาดีสำหรับอาการของโรคนี้ ไม่ได้แสดงออกทางโรคร้าย รูปร่าง หน้าตา แต่จะไปออกเอาที่พฤติกรรม


อาการที่ว่านี้มีอยู่ 3 ประการ ด้านภาษา สังคม และพฤติกรรม


ด้านภาษา ที่ว่านี้ ไม่ได้อยู่ที่พูดไม่ชัดหรือติดขัดในเวลาพูดแต่จะอยู่ที่ความเข้าใจในเรื่อง ที่จะพูด โดยเฉพาะเรื่องแฝงนัย กำกวม อย่างมุกตลก คำเปรียบเปรย และคำประชดประชันต่างๆ หรือคำผวน


ด้านสังคม ก็จะออกในแนวที่ไม่ยอมมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่ค่อยมองหน้าหรือสบตาเวลาพูดคุย แยกตัวอยู่คนเดียวไม่ค่อยสนใจบุคคลรอบข้าง เล่นกับเด็กคนอื่นไม่ค่อยเป็น ไม่รู้จักการทักทาย ยับยั้งชั่งใจหรือรอคอยไม่เป็น


ส่วนด้านพฤติกรรม จะเห็นได้จากการที่ชอบทำอะไรซ้ำๆ ระดับที่เรียกได้ว่า หมกมุ่น โดยเฉพาะกับเรื่องที่ซับซ้อน อย่างเช่น แผนที่โลก วงจรไฟฟ้า ยี่ห้อรถยนต์ ดนตรีคลาสสิก ไดโนเสาร์ ระบบสุริยจักรวาล เป็นต้น


ส่วนต้นเหตุของโรคแอสเพอร์เกอร์นี้ยังไม่ทราบที่มาที่ไป แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่ามีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งการทำงานที่ผิดปกติทางสมอง พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม


น. พ.จอม ชุมช่วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเด็กที่เป็นโรคนี้ว่า บางคนอาจมีปัญหาเรื่องที่ไม่สามารถมีสมาธิกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานนัก หรือมีปัญหาในการจัดลำดับเรื่องต่างๆ แม้จะมีทักษะในบางเรื่องที่อาจจะดูดีกว่าเด็กอื่นก็ตาม


เด็กเหล่านี้จะไม่ยอมเข้าสังคม ไม่พูดคุย ไม่ร่วมกิจกรรมใดๆ บางรายถึงขนาดยอมให้ครูตี เพราะไม่ส่งการบ้าน ที่ร้ายไปกว่านั้นเด็กกลุ่มนี้จะชอบทำอะไรก็จะทำแบบสุดโต่ง และจะมีความอ่อนไหวมาก เวลาที่เขารักใครก็จะรักจริง


วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใครคิดค้น...หมากฝรั่ง



หมากฝรั่ง (Chewing Gum)

ปิ๊ง! จากชาวมายันเคี้ยวชิเคิลหมากฝรั่งเกิดจากยางสีขาวขุ่นของต้นไม้ในตระกูลละมุด (ผลละมุด)นั้นแหละบางทีเรียกว่า “ชิเคิล” (chicle) ที่ชาวมายันแห่งประเทศเม็กซิโกนำมาเคี้ยวบริหารฟัน บริหารกรามมาแต่โบราณ เป็นหลายศตวรรษย้อนหลัง

ในปี ค.ศ. 1845 นายชาร์ลส์ อดัมส์ (Charles Adams) เป็นนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันได้ยางชิเคิลมา เขาสนใจยางนี้มาก แต่ไม่ใช่เพื่อเคี้ยว หากแต่นำมาทำยางหนังสติ๊ก หน้ากาก รองเท้าบู๊ท หากทว่าสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเอายางชิเคิลมาเคี้ยวเล่นตามแบบฉบับดั้งเดิม เขาเกิดความคิดใหม่ขึ้น มาทันที เขาสามารถผสมรสชาติลงในยางชิเคิลได้นี่นา ไม่นานหลัการทดลอง ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เขาก็เปิดโรงงานผลิตหมากฝรั่งแห่งแรกของโลก

ต่อมา ค.ศ. 1869 นายวิเลียม เอฟ เซมเพิล (William F. Semple) ทันตแพทย์จากรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำหมากฝรั่งอันนี้ มาพัฒนาต่อ เพื่อสนับสนุนให้คนเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อบริหารกรามรักษา สุขภาพฟัน โดยเขาใส่ส่วนผสมที่ช่วยในการขัดฟัน ประเภทยาง ชอล์ก ถ่านและผงรากกลิโคริซ (licorice) แล้วจดทะเบียนลิทธิบัตรตั้งแต่นั้นมา

หมากฝรั่งดีต่อเหงือก ดีต่อฟัน แต่ไม่ดีกับสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นเมื่อเคี้ยวแล้ว จะทิ้งของให้ทิ้งเป็นที่เป็นทาง เพื่อไม่ให้ไปติดเปื้อนผู้อื่น เพราะชักไม่ออก ดึงไม่ออก เกิดความเสียหาย


วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้อดีของโยเกิร์ต เกิด เกิด เกิด



โยเกิร์ต นมเปรี้ยวที่คนไทยรู้จักในรูปแบบต่างๆ อาจจะไม่ใช่นมเปรี้ยวที่เรากำลังจะกล่าวถึงเพราะ โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่ดีจะต้องมีแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ จุดประสงค์ของการรับประทานนมเปรี้ยวที่ถูกต้องคือ การรับประทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก(ประมาณ หมื่นล้านต้วต่อกรัม)เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ
ส่วนนมเปรี้ยวที่เราหาซื้อกันในท้องตลาดทำขึ้นโดยมีการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตเสียด้วยซ้ำเพราะนำไปพาสเจอร์ไรซ์(ฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูง)และนำมาบรรจุกล่อง ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ต บางชนิดก็มีการใส่น้ำตาลมากจนน่าสงสัยว่าท่านจะได้ประโยชน์ได้เต็มที่หรือไม่ บางชนิดก็มีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลืออยู่น้อยมาก

แบคทีเรียที่ดีในโยเกิร์ต ได้แก่ แลคโตบาซิลัส เอซิโดฟิลลัส( Lactobacillus acidophillus) แลคโตบาซิลัส บัลการิคัส ( Lactobacillus bulgaricus) และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส ( Streptococcus thermophillus)

โยเกิร์ตสามารถ ทำได้จากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติคทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว

ดังนั้นโยเกิร์ตที่ดีควรทำจากนมชนิดต่างๆและแบคทีเรียที่ดีเท่านั้น ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน รสสังเคราะห์ ส่วนผสมเหล่านี้ล้วนทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อรสโยเกิร์ตธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถรับประทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อย

คุณประโยชน์จากโยเกิร์ต

1. โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและ โปรตีนเคซีน

2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ กรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonella typhidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรจะรับประทานโยเกิร์ตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

3. เป็นแหล่งวิตามิน บี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้

4. ช่วยรักษาโรค ท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะ จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต

5. ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

6. เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตจะมีโปรตีนมากกว่าในนม 20% และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปได้

7. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

8. ช่วยป้องกันมะเร็ง แลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง สามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารในเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

20 สิ่งต้องทำ! ในหน้าหนาว


เตรียมผิวหน้าและผิวกายให้พร้อมสวยรับลมหนาวที่กำลังจะมาถึงกันเถอะ


1. เมื่ออากาศหนาวมาเยือน ความชื้นในอากาศจะลดลง ร่างกายจึงดึงน้ำมาใช้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดอาการแห้งหรือแตกเป็นขุยได้ง่าย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการดื่มน้ำเปล่า (ไม่เย็น) ให้เยอะขึ้น เพราะร่างกายจะดูดซึมน้ำเปล่าเข้าสู่เซลล์ได้รวดเร็วกว่าน้ำชนิดอื่น


2. หากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่ใช้อยู่มีเนื้อบางเบาเหมาะสำหรับอากาศร้อน ขอให้เก็บเข้าตู้เย็นไปก่อน แล้วยอมลงทุนเพิ่มอีกหน่อย ซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อเข้มข้นหรือที่เป็น Oil Base มาใช้ พอหน้าหนาวผ่านไปค่อยหยิบของเดิมกลับมาใช้จะเวิร์คกว่า


3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าชนิดเซรั่มหรือเอสเซ้นซ์มาบำรุงผิวก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์ นอกจากเนื้อบางเบาซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ง่ายแล้ว ยังช่วยเร่งการฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นด้วย


4. นวดหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตและน้ำมันใต้ผิวตามธรรมชาติให้หล่อเลี้ยงผิวดีขึ้น


5. ถ้าปกติแล้วขัดผิวกายสัปดาห์ละครั้ง ขอให้ยืดเวลาออกเป็น 2 – 3 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อเก็บกักความชุ่มชื้นใต้ผิวไว้ และเลือกผลิตภัณฑ์สครับที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยสังเกตง่ายๆ ว่าหลังใช้ผิวจะไม่แห้งตึง แต่ถ้ามีอาการผิวแตกเป็นขุย ขอให้หลีกเลี่ยงการขัดผิวไปก่อนจะดีกว่า


6. ถึงแม้อากาศจะหนาวแค่ไหน ก็ต้องข่มใจไว้ ไม่อาบน้ำที่ร้อนจัด (เกิน 34 องศาเซลเซียส) เพราะไขมันที่เคลือบตามผิวหนังจะถูกล้างออกไปได้มากกว่าปกติ


7. หลังอาบน้ำหรือล้างหน้า ใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ ไม่จำเป็นต้องให้แห้งสนิท ลูบไล้ผลิตภัณฑ์บำรุงแล้วปล่อยให้ซึมซาบเข้าสู่ผิว


8. ถ้าไม่ชอบทาครีมเพราะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หลังอาบน้ำให้รีบชโลมออยล์ทั่วเรือนร่าง แล้วซับตัวด้วยผ้าขน หนูเบาๆ


9. หากอยากผ่อนคลาย แช่ตัวในน้ำอุ่น ให้แช่ได้ไม่เกิน 10 นาที แล้วอย่าลืมหยดออยล์หรือครีมน้ำนมลงในอ่างน้ำด้วย


10. เคล็ดลับฟื้นฟูผิวแห้งเป็นขุยเบื้องต้น ให้นำผ้าขนหนูหรือผ้าสำลีชุบนมรสจืดเย็นๆ มาวางบนผิวหนังส่วนที่แห้งหรือระคายเคือง ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก กรดแล็กติกในนมจะลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออก และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง

11. ในระหว่างวันให้ใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดพรมทั่วใบหน้า เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและเติมความรู้สึกสดชื่น


12. ช่วงนี้ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายที่ระบุไว้สำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์หรือเนื้อครีมเข้มข้นสูง (เนื้อบัตเตอร์) ส่วนเนื้อโลชั่นจะเหมาะกับช่วงหน้าร้อนมากกว่า


13. มาสก์หน้าสัปดาห์ละครั้ง โดยนำแผ่นมาสก์หน้าไปแช่ตู้เย็นก่อนใช้ นอกจากจะช่วยฟื้นฟูผิวแล้วยังช่วยกระชับรูขุมขนด้วย


14. สูตรมาสก์หน้าโฮมเมดทำเองง่ายๆ คือ อะโวคาโดบดครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 1-4 ถ้วย จนเข้ากัน พอกทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า น้ำมันจากอะโวคาโดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว


15. ในตอนเช้าแค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าไม่จำเป็นต้องล้างด้วยสบู่ เพื่อรักษาน้ำมันเคลือบผิวตามธรรมชาติ


16. เปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าเนื้อโฟม มาเป็นเนื้อครีมหรือออยล์จะเหมาะกับสภาพผิวมากกว่า


17. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผสมกรดต่างๆ เช่น AHA BHA เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวแห้งมากขึ้นได้


18. พกลิปบาล์มติดกระเป๋าไว้เสมอ หากเนื้อลิปบาล์มบนริมฝีปากเริ่มแห้งเมื่อไรให้รีบหยิบมาทาทันที


19. ถึงแม้ช่วงฤดูหนาวจะไม่ค่อยมีแสงแดด สาวๆ ก็ยังต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดเหมือนในฤดูร้อนเพราะไม่ว่าเวลาไหน รังสียูวีก็ยังมีอยู่ทุกที่


20. ผิวบริเวณส้นเท้าจะแตกได้ง่ายขึ้น จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเท้าลูบไล้ให้ทั่ว เน้นบริเวณส้นเท้าเป็นพิเศษ แล้วใช้แป้งเด็กทาบางๆ เพื่อดูดซับความมันก่อนสวมรองเท้าหุ้มส้น


วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 สิ่งที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขได้

เคล็ดลับดีๆ เพียงแค่ 9 อย่างนี้ ที่จะทำให้คนรอบๆ ข้างมีความสุขมากยิ่งขึ้นจ้า
1. ยอมรับตัวเราเอง ดังที่เราเป็นอยู่

2. คิดถึงสิ่งที่เราได้รับมากกว่าสิ่งที่เราขาดแล้วจงขอบคุณ แทนการบ่นว่าโทษนั่นโทษนี่


3. จงยอมรับผู้อื่นอย่างที่เขาเป็นอยู่ เริ่มต้นจากผู้ที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะครอบครัวของเรา เพื่อนบ้านของเรา เพื่อนๆที่เรารู้จัก

4. กล่าวถึงผู้อื่นในทางที่ดี และพูดให้ดังๆ

5. อย่าเปรียบเทียบตัวเราเองกับผู้อื่น เพราะว่าการเปรียบเทียบนี้ จะก่อให้เกิดความหยิ่งผยองว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น หรือเกิดความรู้สึกหมดหวังว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น และไม่ทำให้เรามีความสุขแต่อย่างใดเลย


6. ดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง โดยปราศจากความหวาดกลัวที่จะกล่าวว่า สิ่งที่ดีนั้น "ดี" และสิ่งที่เลวนั้น "เลว"

7. จงแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยอาศัยการพูดคุยกัน การเก็บความไม่พอใจไว้ คือการถอยหลังไปสู่ความโศกเศร้า

8. ในการพูดคุยนี้ ควรเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ก่อให้เกิดความสมานฉันท์ แล้วจึงกล่าวถึงสิ่งที่ขัดแย้ง หรือปัญหาที่เกิดขึ้น

9. จงยึดมั่นว่า "การให้อภัย" มาก่อน "การเป็นฝ่ายถูก"

เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ คิดว่าตัวเองยังทำข้อไหนไม่ได้หรือเปล่าเอ่ย ลองดูนะ หากทำได้ทั้งตัวน้องเองและคนรอบข้างต้องมีความสุขมากยิ่งขึ้นแน่นอนเลยจ้า