วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

โพลสำรวจ GAT- PAT

สวัสดีครับ.. วันนี้ มีโพลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสอบ GAT- PAT ครั้งที่ 2 มาฝากกันครับ โพลครั้งนี้ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากน้องๆ ที่เข้าสอบ GAT- PAT ครั้งที่ 2 ที่เข้ามาหาข้อมูลแอดมิชชั่นในเว็บไซต์เด็กดีดอทคอม

โดยโพลนี้ได้ทำการสำรวจตั้งแต่วันที่ 18-21 กรกฏาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งมีโพลที่น่าสนใจหลายหัวข้อเลย รับรองแล้วฟังผลจะต้องสะดุ้ง ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยครับ..



อ่านโพลเด็กดีครั้งนี้แล้ว สรุปได้ข้อคิดหลายอย่างนะครับ อย่างหนึ่งที่เห็นเลยก็คือ การสอบในรอบที่ 2 น้องๆ หลายคนไม่ค่อยได้เตรียมตัวมาเท่าที่ควร และมักจะคิดว่าจะไป หวังเอาในครั้งที่ 3 ซึ่งจะทำได้ หรือเปล่าก็ยังไม่รู้..

ดังนั้น ตราบใดที่การสอบ GAT- PAT มีให้สอบหลายครั้ง อารมณ์สอบเล่นๆ หรือมาลองสนามสอบย่อมเกิดขึ้นแน่นอน และท่ามกลางอารมณ์เหล่านี้แหละ คือนาทีทองของคนที่เตรียมตัวมาอย่างดี ที่จะพลิกให้เป็นโอกาสแซงหน้าเพื่อนๆ เข้าสู่เส้นชัยได้ ^_^

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

20 ก.ย. คือวันอะไร..

วันที่ 20 กันยายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น "วันเยาวชนแห่งชาติ" ค่ะ แล้ววันนี้มีความเป็นมาอย่างไร สำคัญอย่างไรนั้น ??


วันเยาวชนแห่งชาตินี้เกิดขึ้นจากการที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2528 เป็นปีเยาวชนสากลค่ะ เพื่อที่จะมุ่งเน้นให้เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15 - 25 ปี ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต และสามารถช่วยสร้างเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

และที่สำคัญ วันที่ 20 กันยายน ยังเป็นวันมงคลอย่างยิ่ง เนื่องมาจากเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์สองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติในขณะที่ยังทรงพระเยาว์

จึงถือเป็นวันสิริมงคลที่เยาวชนควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ ทางคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2528 กำหนดให้วันที่ 20 กันยายนของทุกปีเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ
วันเด็กยังมีคำขวัญประจำทุกปี วันเยาวชนแห่งชาติก็มีคำขวัญเช่นกันค่ะ โดยองค์การสหประชาชาติเค้าใช้คำขวัญว่า “Participation, Development and Peace” ซึ่งถอดความเป็นภาษาไทยว่า “ร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันพัฒนา ใฝ่หาสันติ” ซึ่งมีความหมายที่ดี และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง

ส่วนกิจกรรมในวันเยาวชนแห่งชาติ หน่วยงานต่างๆ ก็จะจัดขึ้นเป็นประจำค่ะ ซึ่งในปี พ.ศ. 2552 นี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ทุกภูมิภาคทั่วประเทศได้ร่วมกันจัดกิจกรรมขึ้น ในลักษณะของ “เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น การสรรหาและเชิดชูเยาวชนดีเด่นแห่งชาติและผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน การจัดงานมหกรรมวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2552 ภายใต้หัวข้อ “มหกรรมเยาวชนสร้างอาชีพและสิ่งประดิษฐ์ เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง” ระหว่างวันที่ 18 – 20 กันยายน 2552 ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ผู้ที่สนใจ ลองไปเที่ยวงานนี้กันดูนะคะ


วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

"รถไฟใต้ดิน" ปัจจัยที่ 5 ของชาวเกาหลีที่กรุงโซล

โดยรถไฟใต้ดินหรือ 지하철 (ชีฮาช่อล) ของกรุงโซลนั้น มีมาตั้งเกือบ 40 ปีแล้วนะคะ ! เริ่มต้นมีเพียง 9 สถานี แต่ปัจจุบันมีทั้งหมด 263 สถานี เรียกได้ว่ารถไฟใต้ดินนั้นครอบคลุมทั่วกรุงโซลเลย แถมยังยาวไปถึงต่างจังหวัดหรือเขตปริมณฑลด้วย เปิดให้บริการทุกวัน 06.00 - 24.00 น.

สาย 1 หรือ สายสีน้ำเงิน โดยต้นสายฝั่งหนึ่ง จะอยู่ที่อินชอน (เมืองที่เป็นที่ตั้งของสนามบิน นานาชาติ) ส่วนปลายสายของอีกฝั่งจะอยู่ที่ อึยจองบู หรือ เมืองที่เป็นที่ตั้งของสตูดิโอการ ถ่ายทำซีรีส์ชื่อดังเรื่องแดจังกึมค่ะ
สาย 2 หรือ สายสีเขียว เรียกได้ว่าเป็นสาย ธุรกิจของกรุงโซลเลย เพราะผ่านทั้งย่านซินชน ซึ่งเป็นย่านรวมวัยรุ่นและมหาวิทยาลัยต่างๆ รวม ไปถึงย่านคังนัม ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นย่านคนรวยของ เกาหลีใต้ ซึ่งสาย 2 นั้นได้ชื่อว่าเป็นสายที่มีผู้ใช้ บริการมากที่สุด เช่น ในปี 2007 มีผู้ใช้บริการ มากถึง 707,328,238 ครั้ง !!
สาย 3 หรือ สายสีส้ม ต้นสายฝั่งหนึ่งอยู่ที่เมืองอิลซาน (ร้านพิซซ่าของคุณพ่อเซียแห่งดงบังชินกิก็อยู่ที่เมืองนี้นะ ^^) จากนั้นจะวิ่งเข้ากรุงโซลผ่านสถานที่สำคัญ เช่น คยองบกกุง ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังคยองบกที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดของเกาหลี รวมถึง ย่านอับกุจง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท sm town นั่นเอง นอกจากนั้นยังมี Express Bus Terminal คล้ายๆ หมอชิตที่รวมรถบัสไปต่างจังหวัด
สาย 4 หรือ สายสีฟ้า สำหรับสายนี้ สถานที่ที่สำคัญที่สุดคงไม่พ้นมยองดง ย่านที่รวมวัยรุ่นไว้มากที่สุดของกรุงโซล หรือเรียกง่ายๆ ว่าสยามแสควร์ของเกาหลีนั่นเอง
สาย 5 หรือ สายสีม่วง ซึ่งเป็นสายที่วิ่งไปถึงสนามบินกิมโพซึ่งเป็นสนามบินภายในประเทศของเกาหลีใต้ รวมถึงยังวิ่งผ่านย่านเศรษฐกิจที่สำคัญอีกย่านของกรุงโซล คือ ย่านยออีโด ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาเกาหลีใต้ ตึก 63 หรือตึกที่สูงที่สุดของเกาหลีใต้ และ บริษัท KBS ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตซีรีส์และรายการต่างๆ มากมาย
สาย 6 หรือ สายสีน้ำตาลส้ม วิ่งผ่านสถานที่สำคัญ เช่น ย่านอีแทวอน ซึ่งเป็นย่านรวมชาวต่างชาติ รวมถึงมหาวิทยาลัยเกาหลี หรือ Korea University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศเกาหลี
สาย 7 หรือ สายสีเขียวแก่ ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ แล้ว อาจจะไม่ค่อยได้ใช้บริการรถไฟใต้ดินสายนี้มากเท่าไรนัก เพราะไม่ได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญมากเท่าใดนัก ยกเว้นสถานี Express Bus Terminal ซึ่งจะตัดผ่านกับสาย 3 ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นค่ะ
สาย 8 หรือ สายสีชมพู สายนี้ก็เช่นเดียวกันสาย 7 ค่ะคือไม่ได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญมากเท่าไร และยังเป็นสายที่สั้นที่สุดในบรรดารถไฟใต้ดินทั้ง 8 สาย

แน่นอนว่าในเมื่อมีเส้นทางเยอะขนาดนี้ จะต้องมีสถานีเชื่อมต่อหรือจุดเปลี่ยนสถานีกันเยอะมากๆ ซึ่งหากถึงสถานีที่สามารถเปลี่ยนสายรถได้แล้วนั้น ก็จะมีเสียงสัญญาณโดยจะคล้ายๆ เสียงนกร้องจิ๊บๆ ต้องตั้งใจฟังกันให้ดี ส่วนการเปลี่ยนสถานีนั้น ขอบอกว่าเดินไกลมากๆ ค่ะ เพราะสถานีรถไฟใต้ดินของกรุงโซลนั้นใหญ่และกว้างมาก เพราะฉะนั้นการเดินเปลี่ยนสถานีนั้นจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ก็ไม่ต้องกลัวจะเซ็งค่ะ เพราะระหว่างเดินเปลี่ยนสถานีนั้น ก็จะมีร้านค้าต่างๆ มากมายซึ่งตั้งอยู่ในสถานีให้พวกเราได้เดินดูกันอย่างเพลินตาเพลินใจ ไม่ว่าจะเป็นของขายแบกับดินหรือร้านแบรนด์เครื่องสำอางต่างๆ ก็ยังมีอีกแน่ะ นอกจากนี้ถ้าเป็นสถานีใหญ่ๆ ก็จะมีตู้เก็บสัมภาระอัตโนมัติไว้คอยบริการด้วย
และอีกอย่างก็คือ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นรถไฟใต้ดิน แต่ในบางสถานีที่แล่นผ่าน รถไฟใต้ดินนี้ก็จะขึ้นมาวิ่งบนดิน ให้เราได้ชมวิวทัศนียภาพของกรุงโซลได้ด้วยอีกนะคะ

เรื่องราคาค่าโดยสารนั้น จะเริ่มต้นที่ 900 วอน (ตอนนี้ประมาณ 25 บาท) สำหรับ 10 กิโลเมตรแรก และ 10-40 กิโลเมตรต่อ ไปคิดเพิ่ม 100 วอนต่อ 5 กิโลเมตร เรียกได้ว่าถูกมากๆ เลยค่ะ นั่งจนรากงอกจากต้นสายสุดปลายสายใช้เวลา 2 ชั่วโมง เสีย กันไม่เกิน 40 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งพี่เป้ขอแนะนำให้ใช้ T-Money ซึ่งเป็นบัตรเติมเงินสำหรับการใช้โดยสารรถไฟใต้ ดินหรือรถประจำทาง จะทำให้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
สำหรับสิ่งที่ต้องระวังในการใช้บริการรถไฟใต้ดินที่กรุงโซลนั้น พี่เป้คิดว่าน่าจะเป็นการงงหรือสับสนกับสถานีต่างๆ ค่ะ เพราะว่ามีตั้ง 8 สาย สายหนึ่งก็มีประมาณ 40 สถานี หากดูแผนที่แล้วรับรองต้องงงแน่ๆ เพราะมันตัดกันไปมาดูยุ่งเหยิงมาก อีกอย่างคือ ตามสถานีต่างๆ จะมีห้องน้ำไว้เผื่อยามข้าศึกมาประชิด ซึ่งบางสถานีก็ห้องน้ำสะอาด แต่บางสถานีก็ไม่ไหวเอาซะเลย กลิ่นลอยมาแต่ไกล เพราะฉะนั้นก่อนใช้บริการก็อย่าลืมทำธุระส่วนตัวออกจากที่พักให้เรียบร้อยด้วยนะคะ อ้อ ถ้ากำลังนั่งๆ อยู่ แล้วมีคนขึ้นมาขายของตะโกนโหวกเหวกก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ เป็นเรื่องธรรมดาของที่นั่นเค้าล่ะค่ะ ^^ เอาล่ะ ทำความรู้จักรถไฟใต้ดินของกรุงโซลกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว ใครมีโอกาสได้ใช้บริการก็อย่านั่งจนหลงทางล่ะ

เรื่องน่ารู้ของ...ไข่ไก่ใบกลม ๆ

ไก่กับไข่อะไรจะเกิดก่อนกัน...??????
ถามทีไรเป็นอันต้องทะเลาะกันทุกทีไปแต่ว่าลองมาดู 5 เรื่องน่ารู้ของไข่ไก่กันดีกว่า
1. ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว

2. ไข่สุก-ไข่ดิบ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน
เราไม่ควรกินไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปโดยไม่ได้ย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ หากจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน

3. ช่องวางไข่ในตู้เย็น ทำอายุไข่สั้นเปลือกไข่มีลักษณะเป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมากเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวไข่ที่เราเห็นจึงดูเรียบเนียน และเพราะเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่าง ๆได้ง่าย จึงไม่นิยมเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุน อย่างกะปิ น้ำปลา การเก็บไข่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร

4. เก็บไข่ควรนำด้านแหลมลง
การวางไข่โดยเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบนแต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ไข่แดงจึงอยู่กลางใบหากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง

5. ไข่ไม่ได้เป็นแค่อาหาร
ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยนไข่แดง ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิวเปลือกไข่ ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย

การใส่คอนแทคเลนส์ ทำให้การส่งผ่านออกซิเจนระหว่างอากาศกับกระจกตาดำลดลง (กระจกตาดำต้องการออกซิเจนจากหน้าสัมผัสกับอากาศภายนอกโดยการละลายของออกซิเจนในน้ำตาผ่านเข้าไป) ดังนั้น ผู้ใช้คอนแท็กเลนส์บางคนที่มีการสร้างน้ำตาบกพร่อง (ไม่ว่าจะเป็นในแง่ปริมาณ และ/หรือคุณภาพของน้ำตา) ทำให้การส่งผ่านออกซิเจน-น้ำตา-กระจกตาดำลดลง
เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย
ซึ่งผลก็คือ กระจกตาดำขาดอากาศหายใจ ทำให้เซลล์เยื่อบุผิวกระจกตาดำซึ่งมีบทบาทในการทำให้กระจกตาดำคงความใสอยู่ได้ตลอดเวลา ลดจำนวนลงไป ภูมิคุ้มกันของตา โดยเฉพาะ บริเวณกระจกตาดำลดลงไป เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
สำหรับอัตราของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ โดยดูแลอย่างถูกต้อง (ไม่ใส่ค้างคืน ไม่ขี้เกียจล้าง) อยู่ที่ ๑:๒๐๐:๑ ปี (ใน ๑ ปี คนใช้คอนแท็กเลนส์ อย่างถูกวิธี ๒๐๐ คน จะมี ๑ คน ที่เกิดการติดเชื้อทั้งที่รุนแรงและไม่รุนแรง)


การใส่คอนแทคเลนส์เมื่อมีการติดเชื้ออย่างอ่อนๆ อาจมีอาการเพียงการคัน ระคายเคือง หรือมีน้ำตาไหลเท่านั้น ทำให้ร่างกายพยายามเอาระบบภูมิคุ้มกันมายังกระจกตาดำ (ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงโดยสิ้นเชิง) มากขึ้น หลอดเลือดที่เยื่อบุตาขาวจะขยายตัว ในผู้ที่เกิดการระคายเคืองการแพ้สารที่อยู่ในน้ำยาสารพัดอย่าง มีการขยายตัวของหลอดเลือดนี้ได้บ้างเหมือนกัน บางรายหลอดเลือดถึงกับงอกไปบนกระจกตาดำเลยทีเดียว

ในบางประเทศ ทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ต้องได้รับการตรวจพื้นฐาน ได้แก่ ความโค้งของกระจกตา (คอนแท็กเลนส์มีหลายความโค้ง การเลือกความโค้งให้เหมาะกับตาแต่ละคนก็เป็นเรื่องสำคัญ) ตรวจคุณภาพน้ำตา และโรคตาที่อาจยังไม่แสดงอาการก่อนที่จะเริ่มใส่คอนแทคเลนส์ และในบางคนอาจได้รับคำแนะนำให้เลือกใช้วิธีแก้ไขสายตาอย่างอื่นแทน ทั้งที่ดูๆ เขาก็เป็นคนปกติ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องตามาก่อน


เตือนภัย : ใส่คอนแทคระวังอันตราย
แต่พอหันกลับมาดูที่ประเทศไทย คอนแทคเลนส์นั้นหาซื้อได้ง่ายถึงขั้นที่ว่าขายกันอยู่ตีนบันไดทางขึ้น – ลง รถไฟฟ้า วัยรุ่นก็ให้ความนิยมหาซื้อกันมาใส่ ถูกผิดก็ลองๆ กันไป...มีปัญหาค่อยหาหมออีกทีแบบพี่เหมี่ยวว่าไม่คุ้มเลยนะคะ เสียเงินได้ของไม่มีคุณภาพมาใช้แล้วยังต้องเสี่ยงอันตรายอีก

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

เทรนด์ใหม่ "ปั่นจักรยาน" ไปเรียน..

สวัสดีค่ะวันนี้พี่ขอปั่นจักรยานมาทักทายนะคะ อยากช่วยลดโลกร้อนบ้างค่ะ เพราะขนาดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ยังรณรงค์ให้นิสิตในมหาวิทยาลัยกลับมาใช้จักรยานแทนขับรถเก๋ง ใน "โครงการKU Bike" ให้เข้ากับยุคสมัยอนุรักษ์การใช้พลังงาน และลดโลกร้อนในคราวเดียวกัน


ซึ่ง "โครงการ KU Bike" เป็นโครงการที่ทางองค์การบริหารองค์การนิสิต มก.รณรงค์ให้เพื่อนนิสิตกลับมาใช้จักรยานกันอีกครั้ง เพื่ออนุรักษ์พลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจรในมหาวิทยาลัยติดขัด เนื่องจากการใช้รถยนต์จำนวนมาก


ทาง รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดี กล่าวว่า โครงการ KU Bike จะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กันยายน ซึ่งเป็นวัน "สืบ นาคะเสถียร" เพื่ออนุรักษ์สภาพแวดล้อม ทำให้อากาศภายในวิทยาเขตบางเขนบริสุทธิ์ขึ้น และขณะนี้ถนนในวิทยาเขตบางเขนได้มีการปรับเป็นช่องทางจักรยานแล้ว ซึ่งต่อไปจะไม่ให้รถยนต์เข้าพื้นที่การเรียนการสอน แต่จะสร้างอาคารที่จอดรถรอบๆ แล้วจะมีรถบริการรับ-ส่งภายในให้


อีกทั้งยังจัดงบประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี เพื่อซื้อจักรยานให้นิสิตยืมใช้ ทั้งคนที่อยู่หอพัก และอยู่บ้าน โดยต่อไปจะไม่จำกัดเฉพาะนิสิต แต่ครูอาจารย์ บุคลากรมหาวิทยาลัยยืมใช้ได้ด้วย


พจนา บุญชัยยะ นายกองค์การบริหารองค์การนิสิต มก. บอกว่า ตอนแรกนิสิตมีคำถามว่ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงการจราจรทำไม หลังอธิบายให้ฟังว่าจะมีการรณรงค์ใช้จักรยาน เพื่ออนุรักษ์พลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม นิสิตต่างตระหนัก และเห็นถึงความสำคัญ ตอนนี้นิสิตถามกันตลอดว่าโครงการยืมจักรยานใช้เริ่มได้หรือยัง

พี่ขอยืมด้วยได้ไหมคะ ? (ฮ่าๆ) ฟังแล้วอยากเห็นบรรยากาศนิสิตปั่นจักรยานไปเรียนจังเลยค่ะ คงเป็นภาพที่น่ารักทีเดียว แถมยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันรถได้ด้วยนะคะ อากาศก็ไม่มีมลพิษ ไม่มีเสียงดังรบกวน และปั่นจักรยานบ่อยๆยังเป็นการออกกำลังกายได้อีกทางหนึ่งด้วย มีแต่ได้กับได้อย่างนี้ น้องๆคนไหนอยากนำไปใช้บ้าง พี่สนับสนุนเต็มที่คะ

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

ระวังเครื่องสำอางปลอม


สำหรับการตรวจพบในครั้งนี้ อย.ได้ออกเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางตามแหล่งจำหน่ายจำนวน 2 แห่ง เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์หาสารห้ามใช้ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เตือนภัย : ระวังเครื่องสำอางปลอม
เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซ์แอนด์ฮายอินเตอร์ เทรดดิ้ง เขตสวนหลวง ได้แก่
1. WEIJIAO Fade - Out Day Cream (15 g) เลขที่ผลิต P-004 วันที่ผลิต 2008/04/15 ผลิตโดยบริษัท คัลเลอร์เคมีคอลอินดัสเตรียล(ฮ่องกง) จำหน่ายโดย หจก. ไอซ์แอนด์ฮาย อินเตอร์ เทรดดิ้ง 340 อ่อนนุช 17 แยก16ถ.อ่อนนุช เขตสวนหลวง กทม. 10250 ตรวจพบสารประกอบของปรอท

เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากร้านแทนบิวตี้ในห้างซีคอนสแควร์ถนน ศรีนครินทร์ ได้แก่
2. YANKO Day Cream Fade-Out Cream เลขที่ผลิต P-001วันที่ผลิต 2008/02/29 ตรวจพบสารประกอบของปรอท
3. YANKO Night Cream เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2008/08/26 ตรวจพบกรดเรทิโนอิก ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้ผลิตโดย บริษัท คัลเลอร์เคมีคอล อินดัสเตรียล (ฮ่องกง) จำหน่ายโดย บริษัท ชาลีน่า จำกัดเลขที่ 20/24 การเคหะ 20 คลองจั่น บางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
4. FAYLASISWHITENING CREAM (NIGHT CREAM) เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2007/11/07ผลิตโดย บริษัท ห้วยโจเขื่อนเอินคอสเมทิค จำกัด ประเทศจีน จำหน่ายโดยบริษัท ไจโอนูโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด ตรวจพบสารประกอบของปรอท
5. Gold NaryWhitening Cream Night Cream เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2008/11/04 ตรวจพบกรดเรทิโนอิก
6. Gold Nary Face out Cream Day Cream เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2008/04/25 ตรวจพบสารประกอบของปรอท ผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 5และ 6 ผลิตโดย บริษัทเจียวโจจิน คอสเมติค จำกัด ประเทศจีน จำหน่ายโดย เมอด้า มาร์เก็ตติ้งซอย 13 ถ.สามัคคี อ.เมือง จ. นนทบุรี 11000
7. YONAE Whitening Essence &Double Efficacy (ฝาสีเงิน) เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2006/11/27 ไม่ระบุผู้ผลิตและผู้จำหน่าย ตรวจพบสารประกอบของปรอท
8. YONAE Whitening Essence&DoubleEfficacy (ฝาสีทอง) เลขที่ผลิตไม่ระบุ วันที่ผลิต 2006/11/27 ไม่ระบุผู้ผลิตและผู้จำหน่ายตรวจพบกรดเรทิโนอิก

สำหรับอันตรายของสารห้ามใช้ดังกล่าวนั้น สารประกอบของปรอทหรือปรอท แอมโมเนีย เมื่อเริ่มใช้จะทำให้แลดูดีขึ้นขาวขึ้น แต่เมื่อใช้ ไปในระยะหนึ่ง อันตรายจะตามมาโดยทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะและไตอักเสบ และกรดเรทิโนอิกหรือกรดวิตามินเอ เมื่อเริ่มใช้จะทำให้แลดูผ่องใสขึ้น แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง จะทำให้หน้าแดง แสบร้อนรุนแรงเกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้เครื่องสำอางดังกล่าวจึงจัดเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษสำหรับผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้นำเข้า เพื่อขาย และผู้ขายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยจะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

อาหารไทย 4 ภาค Thailand Food 4 Region


Thailand is one famous country in Southeast Asia. Also condition to geographical feature of Country have filled with beautiful place both it’s born to be by natural and human made its. Include an old civilization had been long time ago and easy lifestyle of Thai peoples. And it’s more charm enough to attract tourist’s foreigner. So I don’t be surprise, If someone tell me that tourists foreigner more 10 million to visit in Thailand per year. Because we have yet a great number of anything else can create impression always for visitor such as service also smile with friendship and one thing to famous as well as tourists place is “Eating Culture” of each regions.Do you know that? Why I call “Eating Culture”, because they have different livelihood, social, weather and lifestyle of each region. So something what they think, what they do? May not to be same and as each region. And each region has still kept good culture and tradition on. Especially foods are separated 4 identities – Northern region, Southern region, Northeastern region and the last one is Central region. Now I’ll start talk to you about excellent foods of each region.
Northern region: This region is up pest of country. Almost areas are around with mountains, good weather, clam and easy lifestyle of local peoples are particularly in reference to culture and architecture of Lanna. Often we had ever seen serving with “Khan Tok” among environment open – air in the forests hillsWith in “Khan Tok” – foods are also put on the north’s best – known such as “Kao Soy Kai” for this menu you can get 2 types noodle, one deep fried crispy, another one, it’s soft serve with curry and condiment. And another special menu to I‘ll recommended “Nam Phrik Num” – a sauce for raw and to pound with peppercorn, serve with “Krab Moo” – crispy pork rind, a northern specialty also used as a drinking snack.Most of northern foods, they use peppercorn and long peppercorn, which is spicy, but also has an herby, sweetish flavour. It’s very aromatic, and spiciness. I’ll rather sure, If someone had ever been tried, they have to like it same with me.
Southern region: They have to strongly hot chilli more than other region. Also they had got influence from Indonesian and Malay; they always use spices such as turmeric or “Kha min” so southern foods always has yellow fish curry, soups and grilled fish because there are coconuts on land and fish in the sea. Therefore, I’ll choose recommend special menu of Southern are “Gaeng Tai Pla” made with fish stomach and serve as “Naam Phrik” – a bowl of dipping sauce for raw and boiled vegetables. It’s tastes good; also strong spices, salty and little sweet. The smell of spices had a taste so powerful strong. They are wonderful menu; I think you absolutely cannot miss when you visited in southern of Thailand. And then another region:
Northeastern region: This region poorest of Thailand But If I talk you that “Isaan Foods” hardly no one never had known, The most famous Isaan dish is “Som Tam” or “Papaya Salad” with “Nam Pla raa”(fermented fish sauce), very strong taste and smell typical Isaan. This category included a variety of spicy and tangy dishes with vegetables, fruit or fish mixed together with lime, sugar, chillies, which dipper depend on the dish and serve with “Lrab”, “Yam” – It’s perfect balance of the four essential flavours(sweet, sour, hot and salty).In Isaan people eat with their hands using “Sticky Rice”.Not only Isaan foods is popular in local but also many woman in town like to eat its because the food is mainly stream or grilled – not much flying – which means it’s not fat.Central region: These foods of region had good known both tourists foreigner and people who live in Bangkok. Because If I talk with you about “Tom Yam Kung” and“Phad Thai Kung Sot” Those menus are not interested in those ways because it’s found and had famous as well as Thailand. So I’ll recommend a new special menu

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

4 เหตุผลที่ต้องสอบรับตรง มศว

การสอบรับตรงของ มศว ปีนี้สนามสอบจะกระจายไปตามโรงเรียนต่างๆ ดังนั้น ก่อนถึงวันสอบจริงน้องๆ ลองสำรวจเส้นทางไว้ก่อนก็จะช่วยให้มั่นใจขึ้นครับ.. ส่วนใครที่งอแง และจิตตกจากการเรียนจนมีความคิดว่า จะขอไม่ไปสอบรับตรง มศว ในครั้งนี้ ให้อ่าน 4 เหตุผลสำคัญต่อไปนี้เลยครับ

>>> รับตรง มศว ไม่เน้นการสอบอย่างเดียว
คงเป็นมหาวิทยาลัยเดียวในตอนนี้ที่มีแนวคิดในการรับนิสิตที่ชัดเจนมากๆ เพราะการรับตรงของ มศว ปีนี้หากพิจารณาเกณฑ์ดีๆ แล้วจะเห็นว่า ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การสอบอย่างเดียว แต่ยังวัดกันที่แฟ้มผลงาน และทักษะความสามารถอีกด้วย

ซึ่งวิธีนี้ขอบอกว่าเหมาะมากๆ สำหรับเด็กกิจกรรม หรือเด็กที่เรียนพอได้ แต่ไม่เก่งมาก ดังนั้นน้องๆ ที่มีต้นทุนด้วยความตั้งใจสูง แต่ต้นทุนด้านคะแนนสอบต่ำ ต้องไม่พลาดที่จะสอบรับตรงครั้งนี้ครับ


>>> รับตรง มศว ไม่ใช่คะแนน GAT PAT
หาในโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว สำหรับการสอบรับตรงที่ไม่ใช่ GAT PAT เพราะไล่มาตั้งแต่ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ยัน ม.เกษตรฯ ต่างขึ้นระเบียบการชัดเจนว่า หากจะสอบรับตรงสถาบันเหล่านี้ ต้องมี คะแนน GAT PAT นะจ๊ะ สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้คนที่คะแนนน้อยสุดๆ
ดังนั้น ใครที่คะแนน GAT PAT น้อยติดธรณีสงฆ์ และไม่อยากให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้มาทำลายความฝันในการแอดมิชชั่น ก็ลุยสอบรับตรงครั้งนี้ไปเลยครับ.. ทุกอย่างเริ่มใหม่ เท่าเทียมกันทุกคนครับ..


>>> ไปลองสนาม นับจำนวนคู่แข่ง
ในการสอบแอดมิชชั่นยิ่งสอบมาก ยิ่งได้เปรียบมาก ได้เปรียบตรงที่รู้แนวข้อสอบที่หลากหลาย และคุ้นเคยกับสนามสอบมากขึ้น ดังนั้น การไปสอบในครั้งนี้จงคิดไว้เสมอว่า “เราไม่ได้ไปแข่งกับใคร แต่เราไปแข่งกับความกดดันของตัวเอง”

นอกจากไปเพื่อลองสนามสอบ ยังได้ไปพบกับคู่แข่งที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับเรา ลองนับดูซิว่ามากน้อยแค่ไหนที่เราต้องฮึดสู้ และสุดท้ายหากใครผ่านการสอบครั้งนี้ โดยเอาชนะความกดดันมาได้ สนามแอดมิชชั่นสนามใหญ่ก็เตรียมเฮไว้ได้เลย..


>>> ใช้สิทธิ์ความฝันของตัวเอง
มศว เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเมื่อแอดมิชชั่นปี 2552 มีนักเรียนอยากยื่นคะแนนสมัครเข้าเรียนมากที่สุด โดยเฉพาะคณะมนุษยศาสตร์ วิชาเอกภาษาอังกฤษ และวิชาเอกประวัติศาสตร์ ที่ยอดนิยมจนติดอันดับคณะที่คนเข้ามากที่สุด 2 อันดับแรกของประเทศ

หลายคนได้ยิน ได้ฟังคงจิตตก โดยเฉพาะน้องๆ ที่อยากเข้า มศว แต่ พี่ลาเต้ อยากจะบอกว่าเมื่อเรามีสิทธิ์ เราก็ต้องใช้สิทธิ์ อย่าไปแคร์สื่อว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอแค่วันนี้เราทำตามฝันให้ใกล้ และเต็มที่ที่สุด อย่างน้อยวันข้างหน้าจะได้ไม่เสียดาย


เอาล่ะครับ.. อีกไม่นานน้องๆ ที่สมัครสอบรับตรง มศว ไว้ก็คงจะต้องลงสนามกันแล้ว แฟ้มสะสมผลงาน บัตรประจำตัวสอบ และผังสนามสอบ ตรวจสอบให้เรียบร้อยนะครับ.. เรื่องแนวข้อสอบไม่ต้องคิดมาก ตามที่เราเรียนมาล้วนๆ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ไวรัสคอมพิวเตอร์

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อก่อกวนทำลายระบบคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลชุดคำสั่ง หรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น แผ่นดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจำคอมพิวเตอร์ และเป็นโปรแกรมที่สามารถกระจายจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง ไปยังคอมพิวเตอร์อีกตัวหนึ่งได้โดยผ่านระบบสื่อสารคอมพิวเตอร์ เช่น โดยผ่านทาง แผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) หรือระบบเครือข่ายข้อมูล
อาการของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่พอจะคาดคะเนได้ว่าติดไวรัส

- การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้ากว่าปกติ
- คอมพิวเตอร์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ข้อมูลหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ส่งเสียง หรือข่าวสารแปลกออกมา
- ไดร์ฟ หรือฮาร์ดดิสก์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ไฟล์ในแผ่นดิสก์ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกเปลี่ยนเป็นขยะ

ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบ่งตามวิธีการติดต่อ
- ม้าโทรจัน ม้าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมา ให้ทำตัวเหมือนว่าเป็น โปรแกรมธรรมดาทั่วๆ ไป เพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้ทำการเรียกขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อถูกเรียกขึ้นมาแล้ว ก็จะเริ่มทำลายตามที่โปรแกรมมาทันที ม้าโทรจันบางตัวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งชุด โดยคนเขียนจะทำการตั้งชื่อโปรแกรม พร้อมชื่อรุ่นและคำอธิบาย การใช้งานที่ดูสมจริง เพื่อหลอกให้คนที่จะเรียกใช้ตายใจ จุดประสงค์ของคนเขียนม้าโทรจัน อาจจะเช่นเดียวกับคนเขียนไวรัส คือ เข้าไปทำอันตรายต่อข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง หรืออาจมีจุดประสงค์ เพื่อที่จะล้วงเอาความลับ ของระบบคอมพิวเตอร์ ม้าโทรจันนี้อาจจะถือว่า ไม่ใช่ไวรัส เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดดๆ และจะไม่มีการเข้าไปติดในโปรแกรมอื่น เพื่อสำเนาตัวเอง แต่จะใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของ ผู้ใช้ เป็นตัวแพร่ระบาดซอฟต์แวร์ ที่มีม้าโทรจันอยู่ในนั้น และนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทของโปรแกรม ที่มีความอันตรายสูง เพราะยากที่จะตรวจสอบและสร้างขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งอาจใช้แค่แบตซ์ไฟล์ก็สามารถโปรแกรมประเภทม้าโทรจันได้

- โพลีมอร์ฟิกไวรัส Polymorphic Viruses เป็นชื่อที่ใช้ในการเรียกไวรัส ที่มีความสามารถในการแปรเปลี่ยนตัวเอง ได้ เมื่อมีสร้างสำเนาตัวเองเกิดขึ้น ซึ่งอาจได้ถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือ ทำให้ไวรัสเหล่านี้ ยากต่อการถูกตรวจจับ โดยโปรแกรมตรวจหาไวรัส ที่ใช้วิธีการสแกนอย่างเดียว ไวรัสใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่มีความสามารถนี้ เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
- สทีลต์ไวรัส Stealth Viruses เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถ ในการพรางตัวต่อการตรวจจับได้ เช่น ไฟล์อินเฟกเตอร์ ไวรัสประเภทที่ไปติดโปรแกรมใด แล้วจะทำให้ขนาดของโปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น ถ้าโปรแกรมไวรัสนั้นเป็นแบบสทีลต์ไวรัส จะไม่สามารถตรวจดูขนาดที่แท้จริง ของโปรแกรมที่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากตัว ไวรัสจะเข้าไปควบคุมดอส เมื่อมีการใช้คำสั่ง DIR หรือโปรแกรมใดก็ตาม เพื่อตรวจดูขนาดของโปรแกรม ดอสก็จะแสดงขนาดเหมือนเดิม ทุกอย่างราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบ่งตามลักษณะการทำงาน

- ไฟล์ไวรัส File Viruses คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในแฟ้มข้อมูล ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแฟ้มข้อมูลแบบ Executite ได้แก่ไฟล์ประเภท .EXE .COM .DLL เป็นต้น การทำงานของไวรัสคือจะไปติดบริเวณ ท้ายแฟ้มข้อมูล แต่จะมีการเขียนคำสั่งให้ไปทำงานที่ตัวไวรัสก่อน เสมอ เมื่อมีการ เปิดใช้แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัส คอมพิวเตอร์ก็จะถูกสั่งให้ไปทำงานบริเวณ ส่วนที่เป็นไวรัสก่อน แล้วไวรัสก็จะฝังตัวเองอยู่ในหน่วยความจำเพื่อ ติดไปยังแฟ้มอื่นๆ ต่อไป
- บูตเซกเตอร์ไวรัส Boot Sector Viruses หรือ Boot Infector Viruses คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ ของดิสก์ การทำงานก็คือ เมื่อเราเปิดเครื่อง เครื่อง จะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์ โดยในบูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็ก ๆ ไว้ใช้ในการเรียกระบบ ปฎิบัติการขึ้นมาทำงานอีกทีหนึ่ง ถ้าหากว่าบูตเซกเตอร์ ได้ติดไวรัส โปรแกรมที่เป็นไวรัสจะเข้าไปแทนที่โปรแกรมดังกล่าว ทุก ๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมาโดย โปรแกรมไวรัสก็จะโหลดเข้าไปในเครื่อง และจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใน หน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่ จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรมมา แล้วตัวไวรัสจึงค่อยไป เรียกดอสให้ขึ้นมาทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไวรัสประเภทนี้ มักจะติดกับแฟ้มข้อมูลด้วยเสมอ

ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์ แบ่งตามลักษณะแฟ้มที่ติดไวรัส

- มาโครไวรัส Macro Viruses เป็นไวรัสรูปแบบหนึ่งที่ พบเห็นได้มากที่สุด และระบาดมาที่สุดในปัจจุบัน (เมษายน 2545) ซึ่งการทำงานจะอาศัยความสามารถ ในการใช้งานของ ภาษาวิชวลเบสิก ที่มีใน Microsoft Word ไวรัสชนิดนี้จะติดเฉพาะไฟล์เอกสารของ Word ซึ่งจะฝังตัวในแฟ้ม นามสกุล .doc .dot การทำงานของไวรัส จะทำการคัดลอกตัวเองไปยังไฟล์อื่นๆ ก่อให้เกิดความรำคาญในการทำงาน เช่นอาจจะทำให้เครื่องช้าลง ทำให้พิมพ์ของทางเครื่องพิมพ์ไม่ได้ หรือทำให้เครื่องหยุดการทำงานโดยไม่มีสาเหตุ
- โปรแกรมไวรัส Program Viruses หรือ File Intector Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่ง ที่จะติดกับไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้าไปติดอยู่ใน โปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น sys และโปรแกรมประเภท Overlay Programsได้ด้วย โปรแกรมโอเวอร์เลย์ ปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วย OV วิธีการที่ไวรัสใช้ เพื่อที่จะเข้าไปติดโปรแกรมมีอยู่สองวิธี คือ การแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในโปรแกรม ผลก็คือ หลังจากที่โปรแกรมนั้นติดไวรัสไปแล้ว ขนาดของโปรแกรมจะใหญ่ขึ้น หรืออาจมีการสำเนาตัวเอง เข้าไปทับส่วนของโปรแกรมที่มีอยู่เดิม ดังนั้นขนาดของโปรแกรมจะไม่เปลี่ยน และยากที่จะซ่อมให้กลับเป็นดังเดิม

การทำงานของไวรัส โดยทั่วไป คือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่ติดไวรัส ส่วนของไวรัสจะทำงานก่อน และจะถือโอกาสนี้ฝังตัวเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำทันที แล้วจึงค่อยให้โปรแกรมนั้นทำงานตามปกติต่อไป เมื่อไวรัสเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำแล้ว หลัง จากนี้ไปถ้ามีการเรียกโปรแกรมอื่น ๆ ขึ้นมาทำงานต่อ ตัวไวรัสก็จะสำเนาตัวเองเข้าไป ในโปรแกรมเหล่านี้ทันที เป็นการแพร่

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

การแปรงฟันให้ถูกวิธี



มีหลายคนที่มักจะละเลยการแปรงฟัน โดยหารู้ไม่ว่าความสะอาดในช่องปากนั้นก็มีส่วนสำคัญ เพราะมันอาจส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่นได้ เราจึงมีวิธีแปรงฟันที่ถูกต้องมาฝากกัน

โดยควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ให้ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนิ่ม ไม่ใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็งมาก เพราะจะทำให้ฟันสึกเร็ว ขนาดของหัวแปรงควรมีขนาดที่พอดีที่จะเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของฟันได้ง่ายๆ และต้องให้ความสำคัญของการแปรงที่ถูกวิธีและทุกๆ ตำแหน่งของซี่ฟัน

วิธีแปรงฟัน

วางแปรงเอียง 45 องศา กับเหงือก

ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน

แปรงให้ครบทุกด้านของฟัน ด้านหน้า ด้านใน และด้านบดเคี้ยว

ด้านในของฟันหน้าใช้วิธี ลากแปรงผ่านผิวของฟัน

อย่าลืมแปรงลิ้น ช่วยลดการสะสมของ Bacteria ที่ลิ้น ลดกลิ่นปากได้อย่างดี


การดูแลแปรงสีฟัน

คุณทราบบ้างไหมว่า Bacteria สะสมและเจริญเติบโตที่บริเวณแปรงสีฟันหลังจากเราใช้มัน ดังนั้นควรมีแปรงสีฟันของตนเองไม่ควรใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะมีการกระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งได้ เมื่อแปรงฟันเสร็จ ให้ล้างขนแปรงด้วยน้ำเพื่อล้างยาสีฟัน และเศษอาหารที่ค้างอยู่ หลังจากล้างต้องวางแปรงให้ขนแปรงตั้งขึ้นให้แห้งโดยลม และควรเปลี่ยนแปรงทุก 3-4 เดือน


สิ่งที่ไม่ควรทำ

เรามักชินกับวิธีการแปรงฟันสีเข้าสีออกลักษณะเหมือนเลื่อยไม้ หรือจะชินกับการแปรงฟันถูขึ้นลงไปโดยเฉพาะบริเวณฟันหน้า

ไม่แปรงแบบเลื่อยฟัน จะทำให้คอฟันสึก

ไม่แปรงสวนทางกับเหงือก เพราะทำให้เหงือกร่น

ไม่ใช้แปรงสีฟันจนขนแปรงบานออก

ไม่ควรเก็บแปรงในภาชนะปิด เพราะความชื้นทำให้แบคทีเรียที่ขนแปรงเจริญได้ดีกว่า เก็บแปรงในที่ภาชนะเปิดถูกอากาศ

การแปรงฟันอยากคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันกันมากกว่าครับ หากแปรงถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอเชื่อแน่ว่าคุณจะมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง และยิ้มอย่างมีความสุขแน่นอน

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ฟังให้ดี ได้เกรด 4 ไปกว่าครึ่ง !

วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับการ "ฟัง"มาบอกกันค่ะ โดยเฉพาะคนที่รู้สึกว่า เวลาอาจารย์พูดทำไมฟังแล้วไม่เข้าหัวเลย หรือไม่เข้าใจเรื่องที่อาจารย์พูดอยู่เลย มาดูกันดีกว่าค่ะว่า เราควรจะฟังอย่างไร มันถึงจะเวิร์ค!!!!!

1.ให้ความสนใจกับเรื่องที่ฟัง

เราต้องสร้างความสนใจในเรื่องที่จะฟัง(ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นมันจะไม่น่าสนใจ หรือน่าง่วงนอน) เพราะบางครั้งเรื่องที่อาจารย์พูด อาจเป็นจุดสำคํญของเนื้อหา ที่อาจเอาไปออกเป็นข้อสอบเก็บคะแนน หรืออาจจะเอามาถามตอนเราเผลอๆก็ได้นะคะ

2.เมื่อฟัง ก็ต้องฟังอย่างตั้งใจ และมีสมาธิ
เวลาอาจารย์กำลังพูดหรือธิบายอะไร ก็ต้องมีสมาธิอยู่ตรงนั้นนะคะ อย่าวอกแวกหรือจิตหลุด เกิดอาจารย์บอกแนวข้อสอบขึ้นมาแล้วไม่ได้ฟังจะเสียดายแย่ ถ้ารู้ตัวว่าจิตหลุด ให้รีบลอยกลับเข้าร่างค่ะ

3.จับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง และคิดวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องราวที่ฟัง
ต้องจับใจความให้ได้ว่า เรื่องที่ฟังเป็นเรื่องอะไร เกิดที่ไหน เรื่องเป็นอย่างไร ฯลฯ ส่วนการวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องราวที่ฟัง คือ เรื่องมันเป็นอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ ผลเป็นอย่างไร เป็นต้น

วิธีง่ายๆที่นำมาบอกครั้งนี้ น่าจะช่วยให้ชาวเด็กดีเริ่มต้นการฟังได้อย่างถูกต้องนะคะ เพราะถ้าเราฟังได้อย่างถูกวิธีแล้ว ทีนี้ปัญหาเรื่องไม่เข้าหัว หรือลอยผ่านไป จำอะไรไม่ได้ ก็น่าจะลดลงนะคะ แล้วชาวเด็กดีมีวิธีการฟังอย่างไรที่ได้ผลและเวิร์คสุดๆ ลองมาบอกกันบ้างนะ


วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552


แม้ใครๆ จะพร่ำบอกว่า เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในความรู้สึกของหนุ่มกวาง หนุ่มน้อยวัยใสวัยมัธยมต้น การมีสิว...มันเหมือนปัญหาชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่กวางจำต้องแบกรับไว้บนหน้า จนแทบจะไม่อยากไปโรงเรียนกวดวิชากันเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วเรื่องสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติจริงๆ นั่นล่ะ เพราะถ้าหนุ่มสาววัยใสเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิว (ไปสักระยะ)

เพราะสิวเป็นสัญญาณของการแตกเนื้อหนุ่มสาว ซึ่งส่วนมากมักจะพบว่าหนุ่มน้อยสาวน้อยที่บ้านเราจะเริ่มมีสิวกันตั้งแต่อายุประมาณ 12-13 ปี และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจากสถิติทางการแพทย์พบว่าวัยรุ่นประมาณ 80% เคยเป็นสิวมาก่อน สาเหตุของสิวเนื่องจากเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ฮอร์โมนเพศในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศแอนโดรเจน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น

เมื่อรูขุมขนบริเวณใบหน้า บริเวณอก และแผ่นหลังอุดตัน ไขมันที่ถูกสร้างจากต่อมไขมันระบายออกไม่ทัน ก็จะกลายเป็นอาหารอย่างดีแก่เชื้อแบคทีเรียบนผิวหน้า และทำให้เกิดการอักเสบตามมา แต่ถ้าหนุ่มน้อยสาวน้อยต่างรู้จักการดูแลตัวเอง ก็อาจลดโอกาสการเกิดสิวได้เหมือนกัน แต่หากเป็นสิวไปแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไปนะคะ เพราะถ้าเราเกิดความกังวลเดินผ่านใครหรือใครเดินผ่านก็มักจะเอามือปกปิด หรือเผลอตัวไปสัมผัสบริเวณนั้นตลอดเวลา กลับยิ่งกระตุ้นให้สิวเกิดการอักเสบเป็นหนอง การดูแลจะยุ่งยากขึ้นกว่าเดิม วิธีง่ายๆ อยากจะแนะนำไว้ดังนี้

1.รักษาความสะอาดโดยล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ เนื่องจากสิวไม่ได้เกิดจากความสกปรกของฝุ่นผงในอากาศ เวลาล้างหน้าอย่าถูแรง พยายามหลีกเลี่ยงการใช้สครับล้างหน้าเพราะระคายผิว และหลีกเหลี่ยงการใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าทั่วไปที่มีฤทธิ์เป็นด่าง

2.หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของสารเคมี ที่อาจจะทำให้เกิดสิว

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ

4.อย่าบีบหรือแกะสิวเพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น ซึ่งรักษาให้หายได้ยากกว่าการรักษาสิว

5.อย่าปล่อยให้ผมยาวรุงรังปรกหน้า อย่าปล่อยให้ผมมัน และควรงดใช้น้ำมันใส่ผม เจล สเปรย์

6.พยายามอย่าให้เครียด อย่าให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดหรือกังวล และพยายามอย่านอนดึก

7.กรณีผิวหน้ามัน ควรซับมันออกจากผิวหน้าด้วยกระดาษซับความมันบนใบหน้า